มือปืนกราดยิงเข้าใส่กลุ่มคนในย่านเที่ยวกลางคืนในรัฐแอละแบมา มีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ศพ บาดเจ็บอีก 18 ราย เจ้าหน้าที่ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 .ย. 2567 ว่า นายทรูแมน ฟิตซ์เจอรัลด์ เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเบอร์มิงแฮม ในรัฐแอละแบมา ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เกิดเหตุมือปืนกราดยองเข้าใส่ฝูงชนในเขต “ไฟฟ์ พอยท์ส เซาท์” (Five Points South) เมื่อกลางดึกวันเสาร์ (21 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น) ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 ศพ บาดเจ็บอีก 18 ราย
เจ้าหน้าที่พบร่างผู้เสียชีวิตเพศชาย 2 ศพ และหญิง 1 ศพในที่เกิดเหตุ ก่อนที่ชายคนที่ 3 จะเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเนื่องจากบาดแผลถูกยิง ขณะที่ตำรวจกำลังสืบสวนว่า มือปืนเดินเข้าหากลุ่มผู้เคราะห์ร้าย หรือขับรถผ่านมา โดยจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด
นายฟิตซ์เจอรัลด์เสริมด้วยว่า ตำรวจเชื่อว่าเหตุกราดยิงครั้งนี้ “ไม่ได้เกิดชึ้นแบบสุ่ม” และเป็นเหตุการณ์เดี่ยวที่มีผู้เคราะห์ร้ายถูกกระสุนลูกหลงหลายราย ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบว่าใครคือผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายในเหตุการณ์นี้
นอกจากนั้น ตำรวจยังกำลังเร่งตามหาตัวมือปืน โดยระบุในแถลงการณ์ว่า พวกเขากำลังร่วมมือกับสำนักงานสืบสวนกลาง (เอฟบีไอ) และหน่วยงานรัฐบาลกลางอื่นๆ พร้อมถึงตั้งเงินรางวัลจำนวน 5,000 ดอลลาร์ ให้แก่ผู้ที่บอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์และนำไปสู่การจับกุม นอกจากนั้นยังเปิดพอร์ทัลเว็บ สำหรับรับข้อมูลรูปภาพและวิดีโอด้วย
ทั้งนี้ เหตุกราดยิงเกิดขึ้นบนถนน แมกโนเลีย อเวนิว ในเขต ไฟฟ์ พอยท์ส เซาท์ ซึ่งมีชื่อเรื่องสถานที่เที่ยวกลางคืน โดยผู้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังเข้าคิวที่หน้าเลาจ์แห่งหนึ่ง บอกกับสื่อว่า ได้ยินเสียงปืนดังรัวหลายนัด และพวกเขาเชื่อว่าอาจมาจากปืนที่ถูกดัดแปลงเป็นปืนอัตโนมัติ
...
ด้านนาย แรนดอลล์ วูดฟิน นายกเทศมนตรีเมืองเบอร์มิงแฮม กล่าวโทษอุปกรณ์ “Glock switches” ที่สามารถเปลี่ยนให้ปืนพกสามารถยิงได้รัวคล้ายปืนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ว่าเป็นปัญหาต่อความปลอดภัยสาธารณะ ทั้งสำหรับเมืองเบอร์มิงแฮม และรัฐแอละแบมาด้วย
อนึ่ง ในปีนี้เกิดเหตุกราดยิงในพื้นที่ต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ แล้ว มากกว่า 400 ครั้ง ตามกข้อมูลจาก “หอจดหมายเหตุความรุนแรงด้วยอาวุธปืน” (Gun Violence Archive) ซึ่งนิยามเหตุกราดยิงไว้ว่า คือเหตุการณ์ที่มีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต 4 รายขึ้นไป
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc