คามาลา แฮร์ริส เป็นผู้ควบคุมการดีเบตครั้งแรกระหว่างเธอกับโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อคืนวันอังคารที่ 10 ก.ย. 2567 ตามเวลาท้องถิ่นไว้ได้อย่างหยู่หมัด และแสดงทักษะสมัยเป็นอัยการใช้ประโยชน์จากทุกโอกาสเพื่อเล่นงานอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นี้ ตลอดการโต้อภิปราย 90 นาที

ทั้งสองคนมีความเห็นต่างกันอย่างรุนแรงในเรื่องนโยบายการทำแท้ง, เศรษฐกิจ, ผู้อพยพเข้าเมือง และสงครามในยูเครน แต่นายทรัมป์ตกเป็นฝ่ายตั้งรับตลอด และต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการโต้แย้งเรื่องเกี่ยวกับประวัติของตัวเขาเองที่แฮร์ริสหยิบยกขึ้นมากโจมตี

ด้านภาษากายก็แตกต่างกันอย่างมาก แฮร์ริสยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ แม้ตอนถูกปิดไมค์ ส่วนนายทรัมป์มีสีหน้าถมึงทึง

แฮร์ริสวางกับดัก ทรัมป์กระโจนเข้าใส่

แฮร์ริสควบคุมการดีเบตได้เกือบจะตั้งแต่แรก เธอวางเหยื่อล่อแล้วนายทรัมป์ก็งับเหยื่อ เริ่มจากการจี้ใจดำนายทรัมป์ ว่าคำปราศรัยของเขาน่าเบื่อมากถึงขั้นผู้สนับสนุนเดินออกจากงานหาเสียง ต่อด้วยแซะเรื่องที่นายทรัมป์สืบทอดความร่ำรวยมาจากผู้เป็นบิดา ส่วนนายทรัมป์ที่ถูกไล่ต้อนก็ตอบโต้ด้วยวาทกรรมรุนแรง

ณ จุดหนึ่ง แฮร์ริสเชิญชวนให้ผู้ชมดูการหาเสียงของนายทรัมป์โดยปราศจากอคติใดๆ แล้วจะพบว่า “คุณจะไม่ได้ยินเขาพูดถีงเรื่องความจำเป็นของพวกคุณเลย” ซึ่งนายทรัมป์ตอบโต้ แต่ไม่ใช่ด้วยการพูดถึงความจำเป็นต้องผู้คน แต่พูดถึงจำนวนคนที่มาฟังปราศรัย และว่า “ประชาชนไม่ได้ออกจากงานหาเสียงของผม”

นายทรัมป์ยังอ้างถึงข่าวลือที่ว่าผู้อพยพเข้าเมืองในรัฐโอไฮโอกันสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ซึ่งถูกพิสูจน์ไปแล้วว่าไม่เป็นความจริง จนทำให้นาย เดวิด มัวร์ ผู้ดำเนินการโตอภิปรายของสำนักข่าว เอบีซี นิวส์ ต้องพูดโต้แย้ง ขณะที่แฮร์ริสหัวเราะเยาะนายทรัมป์

...

ทรัมป์ตกเป็นฝ่ายตั้งรับ

ช่วง 5 นาทีแรกหลังการดีเบตเริ่มต้นขึ้น แฮร์ริสมองกล้องและบอกกับผู้ชมเกี่ยวกับสิ่งที่คาดหวังได้จากนายทรัมป์ก็คือ “กลยุทธ์ที่น่าเหนื่อยหน่ายคร่ำครึเดิมๆ การโกหกคำโต, การแสดงความคับข้องใจ และการพูดดูหมิ่นคนอื่นเท่านั้น”

ในการดีเบตครั้งนี้ นายทรัมป์พูดถึงสิ่งที่เขาจะทำหากได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 น้อยลง และใช้เวลาไปกับการปกป้องประวัติของตัวเองเขา ทั้งเรื่องการรับมือสถานการณ์วิด, การตัดสินใจไล่ที่ปรึกษาทางทหารระดับสูงออก หรือแม้แต่สิ่งที่เขาพูดหลังเกิดการจลาจลของกลุ่มขวาจัดที่เมืองชาร์ลอตต์วิลล์ เมื่อ 7 ปีก่อน

ทรัมป์มีโอกาสโต้กลับตอนที่เขายกเรื่องการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานอย่างไรก็ระบบของรัฐบาลไบเดน-แฮร์ริส แต่เขากลับต้องปกป้องตัวเองอีกครั้ง หลังถูกโจมตีเรื่องที่เขาเชิญสมาชิกตาลีบันมาที่แคมป์เดวิด ซึ่งเป็นเซฟเฮาส์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ไกลจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อปี 2562

แฮร์ริสยังบีบให้นายทรัมป์ตต้องแก้ต่างเรื่องความสนิทสนมระหว่างเขากับผู้นำเผด็จการหลายคน รวมถึงนายวิคเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี และนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เธอยังยั่วยุนายทรัมป์ด้วยการหยิบคำหยาบที่เขาเคยใช้โจมตีเธอว่า “อ่อนแอ” มาใช้กับเขาในประเด็นเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ

นายทรัมป์ตอบโต้ด้วยคำเดียวกัน

จากนั้น แฮร์ริสก็หันไปมองกล้องแล้วประกาศตัวเป็นแคนดิเดทแห่งอนาคต และโจมตีทรัมป์เรื่องเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อ 6 ม.ค 2564 หลังเขาแพ้การเลือกตั้งให้แก่นายไบเดน “เราไม่จำเป็นต้องกลับไป อย่ากลับไปเลยดีกว่า” แฮร์ริสกล่าว

แฮร์ริสกุมความได้เปรียบประเด็นการทำแท้ง

ประเด็กเรื่องนโยบายการทำแท้งคือสิ่งที่นักวิเคราะห์มองว่า ไบเดนทำเสียโอกาสมากที่สุดในการดีเบตของเขากับนายทรัมป์เมื่อปลายเดือนมิถุนายน แต่แฮร์ริสสามารถทำให้มันกลายเป็นช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดของเธอในการดีเบตครั้งล่าสุดได้ และเป็นช่วงเวลาที่มีผู้ชมมากที่สุดด้วย

นายทรัมปืรู้ดีถึงจุดอ่อนของเขาในประเด็นเรื่องการทำแท้ง เพราะเขาเป็นผู้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่คว่ำคำตัดสินคดี “โรกับเวด” (Roe v. Wade) แต่ในวันอังคาร เขากลับเอาแต่พูดถึงการแบนการทำแท้งและระบุว่า เขาไม่สนับสนุนการแบนทั่วประเทศ

“ไม่ผมไม่สนับสนุนการแบนการทำแท้ง” นายทรัมป์กล่าว “แต่มันไม่สำคัญหรอกเพราะตอนนี้ เรื่องนี้รับช่วงต่อโดยรัฐต่างๆ แล้ว” นายทรัมป์ในวัย 78 ปี ยังยกอายุของตัวเองมาพูด ในตอนที่เขาพยายามย้ำจุดยืนของตัวเองเรื่องการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และประกาศว่า “ผมเป็นผู้นำเรื่องการมีลูกนะ”

ด้านแฮร์ริสกล่าวหานายทรัมป์อย่างรุนแรง ว่าจุดยืนเรื่องการทำแท้งของเขานั้นเป็นการดูหมิ่นผู้หญิงชาวอเมริกิน และว่าเธอได้เดินทางพบปะผู้หญิงทั่วประเทศ ที่สุขภาพและชีวิตตกอยู่ในอันตรายจากการตั้งข้อจำกัดเรื่องการทำแท้งแล้วด้วย

ทรัมป์ดูถูกแฮร์ริสอย่างไม่ปิดบัง

หลังช่วงในการอภิปราย น.ส.แฮร์ริสแสดงความรู้สึกที่เธอมีต่อโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาผ่านภาษากาย เช่น ใช้มือจับที่แก้ม, หัวเราะ และทำปากจู๋ทำหน้าสับสนงุนงง

ส่วนนายทรัมป์ดูเหมือนจะพยายามเลี่ยงไม่มองแฮร์ริสตรงๆ และแสดงความรู้สึกออกมาด้วยการตะโกนใส่ไมโครโฟน

น.ส.แฮร์ริสพูดเตือนว่า ผู้นำโลกกำลังหัวเราะเยาะนายทรัมป์ และมองเขาเป็นความเสื่อมเสีย เธอยังพูดถึงความพ่ายแพ้ของนายทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2563 ว่า นั่นคือช่วงเวลาที่เขาถูกคน 81 ล้านคน ไล่ออก ซึ่งนายทรัมป์แสดงสีหน้าไม่พอใจชัดเจน

เมื่อถึงตอนที่แฮร์ริสโจมตีนายทรัมป์เรื่องที่เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดจรองในคดีอาชญากรรม อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ก็กล่าวหาพรรคเดโมแครต รวมถึงแฮร์ริสโดยไม่มีหลักฐานว่า ทำให้ระบบยุติธรรมของประเทศหันมาเล่นงานเขา และว่า “ผมอาจจะโดนกระสุนเข้าที่หัวเพราะเรื่องที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับผมก็ได้” นายทรัมป์กล่าว

...

ช่วงหนึ่ง ตอนที่ น.ส.แฮร์ริสพยายามจะพูดแทรกทั้งที่ถูกปิดไมค์ นายทรัมป์ก็สบโอกาสยกคำพูดซึ่งเป็นที่จดจำของแฮร์ริส ในการดีเบตรองประธานาธิบดีเมื่อปี 2563 มาใช้กับเธอเอง

“ผมกำลังพูดอยู่ ได้โปรดเถิด หวังว่าคุณจะไม่รังเกียจ” นายทรัมป์พูดพร้อมทำสีหน้ารำคาญ “ฟังดูคุ้นๆ มั้ย?”

แต่นายทรัมป์กลับมีท่าทีเงอะงะตอนตอบคำถามเดียวกับคำพูดในอดีตของเขา ที่เขาตั้งคำถามเรื่องเชื้อชาติของแฮร์ริส “ที่ผมพูดได้คือ ผมอ่านมาว่าเธอไม่ใช้คนดำอย่างที่เธอบอก แล้วผมก็พูดออกไป จากนั้นผมก็ได้อ่านมาว่าเธอเป็นคนดำ ผมก็โอเค ไม่ว่าอย่างไหนก็โอเคสำหรับผม มันขึ้นอยู่กับเธอแล้ว” นายทรัมป์ย้ำ “มันขึ้นอยู่กับเธอ”

ส่วนแฮร์ริสตอบโต้ว่า การที่นายทรัมป์ใช้เรื่องเชื้อชาติเพื่อแบ่งแยกชาวอเมริกันนับเป็น โศกนาฏกรรม

แฮร์ริสพลาดหลายโอกาส

หนึ่งในคำพูดที่น่าจดจำของนายทรัมป์ ในการดีเบตครั้งนี้ คือตอนที่เขาล้อเลียน น.ส.แฮร์ริสว่าไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายของตัวเอง และเธอก๊อปปี้แผนของ โจ ไบเดน

แฮร์ริสตอบโต้ด้วยการโจมตีนโยบายของนายทรัมป์ แทนที่จะพูดถึงนโยบายของตัวเอง ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่เธอสะบายใจที่จะพูดมากกว่า และเมื่อผู้ดำเนินการโต้อภิปรายถามเรื่องการเปลี่ยนจุดยืนในนโยบายสำคัญหลายอย่าง รวมถึงเรื่องที่เธอเคยสนับสนุนการแบนการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติแบบ “แฟรกกิ้ง” (Fracking) และต้องการลดความเป็นอาชญากรรมของการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย

แฮร์ริสเลือกตอบเพียงเรื่องแรกเท่านั้น หลังจากสัญญาว่าจะชี้แจงทั้งหมด “ฉันจะไม่แบนการแฟรกกิ้ง” ก่อนจะหันไปพูดเรื่องที่นายทรัมป์เติบโตขึ้นมาในฐานๆ ลูกชายของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แทน

อีกช่วงที่แฮร์ริสแสดงความเครียดออกมาคือ ในคำถามแรก ซึ่งเธอพยายามตอบโดยร่วมแผนการต่างๆ ของเธอ ทั้งนโยบายเศรษฐกิจ, เงินช่วยเหลือสำหรับเด็ก, การลดภาษีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เอาไว้ในคราวเดียว

...

ทรัมป์คิดถึงไบเดน

ตลอดการดีเบต นายทรัมป์พยายามเชื่อมโยงแฮร์ริสเข้ากับนโยบายที่ไม่ได้รับความนิยมมากที่สุดของนายไบเดน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และผู้อพยพ โดยเขากล่าวหารัฐบาลไบเดน-แฮร์ริสว่า อนุญาตให้ผู้อพยพหลายล้านคนข้ามพรมแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของมา

อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ทำไม่สำเร็จ และพูดถึงไบเดนบ่อยๆ ราวกับคิดถึงอดีตคู่แข่งรายนี้ จนแฮร์ริสต้องพูดเตือนว่า “เป็นเรื่องสคัญที่ต้องย้ำเตือนอดีตประธานาธิบดี” “ว่าคุณไม่ได้กำลังชิงชัยกับ โจ ไบเดน แต่คุณกำลังชิงชัยกับฉัน”

ต้องรอจนถึงตอนท้ายของการดีเบต นายทรัมป์จึงหาจังหวะของตัวเองเจอ ในการเชื่อมโยงแฮร์ริสกับไบเดน โดยกล่าวว่า “เธอกำลังจะทำสิ่งวิเศษทั้งหมดนี้” อ้างถึงสัญญาหลายข้อของแฮร์ริส “แต่ทำไมที่ผ่านมาถึงไม่ทำละ?” แต่แฮร์ริสยังไม่ทันจะตอบ เวลาของการโต้อภิปรายก็หมดลง

แต่นายทรัมป์ไม่จบแค่นั้น เขาไปพูดต่อในห้อง "สปินรูม" (spin room) โดยบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “นี่เป็นการดีเบตที่ดีที่สุดในที่ผมเคยทำมาเลย”

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : new york times