จากรองประธานาธิบดีที่ไร้แสงเดินตามประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่สามารถพลิกกลับมาเป็นคู่ท้าชิงคนใหม่จากพรรคเดโมแครต ที่พร้อมบดขยี้เฒ่าสารพัดพิษอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ในชั่วข้ามคืน ถามว่า “กมลา แฮร์ริส” ทำได้ยังไง และสหรัฐอเมริกาพร้อมแล้วหรือยังที่จะมีประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ แถมเป็นผู้นำที่มีเชื้อสายเอเชีย บิดามารดาเป็นผู้อพยพจากจาไมกาและอินเดีย

ด้วยวัย 59 ปี และภูมิหลังอาชีพอัยการสูงสุดรัฐแคลิฟอร์เนีย “แฮร์ริส” ขายความแข็งกร้าวดุดันแบบคนถืออำนาจตุลาการ จัดหนักขยี้ “ทรัมป์” ฉายภาพความเป็นอาชญากรให้คนมะกันสะพรึงกลัวอีกครั้ง

ประเดิมเวทีปราศรัยหาเสียงแรก ที่เมืองเวสต์แอลลิส ชานเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ในฐานะตัวเก็งผู้แทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนนี้ แทนที่ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ซึ่งยอมถอนตัวในโค้งสุดท้าย เพราะความร่วงโรยและปัญหาสุขภาพ

“แฮร์ริส” พลิกกลับจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุก โกยคะแนนนิยมนำหน้า “ทรัมป์” 44% ต่อ 42% พร้อมรวบรวมเสียงสนับสนุนจากตัวแทนพรรคได้เพียงพอ ก็ด้วยการเปรียบเทียบภูมิหลังตัวเองในฐานะที่เคยเป็นอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย กับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งถูกศาลตัดสินแล้วว่ากระทำผิดคดีอาญาร้ายแรง โดยโจมตีว่า “ทรัมป์” จะนำพาอเมริกาถอยหลังลงคลอง นี่ยังไม่นับรวมถึงการพลิกกลับมาได้เปรียบในเรื่องอายุ โยนจุดอ่อนให้ “ทรัมป์” กลายเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่แก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ด้วยวัย 78 ปี

ในขณะที่ “ไบเดน” วัย 81 ปี มุ่งโจมตี “ทรัมป์” ว่าเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย แต่ “แฮร์ริส” กลับเลือกตี แสกหน้า ฟาดไปที่เรื่องส่วนตัวของ “ทรัมป์” ตรงๆ ด้วยการเปรียบเทียบภูมิหลังของตัวเองในฐานะอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ต้องการต่อกรกับนักล่าเหยื่อและนักต้มตุ๋น รวมถึง “ทรัมป์” ผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา ที่ถูกศาลตัดสินว่ากระทำผิดคดีอาญาร้ายแรง

...

นอกจากจะชูประเด็นว่าอยู่ข้างชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นจุดยืนหลักของพรรคเดโมแครตมาตลอด “แฮร์ริส” ยังกล้าชนเรื่องสิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชนมากกว่า “ไบเดน” โดยประกาศสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง, ความเท่าเทียมทางเพศ, ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และการต่อต้านการใช้ความรุนแรงของตำรวจ โดยเฉพาะกับประชากรผิวดำ จากผลงานและการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ ดูเหมือน “แฮร์ริส” จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า “ทรัมป์” อย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มคนที่มีแนวคิดฝั่งซ้าย

เมื่อได้ขึ้นเวทีปราศรัยเต็มตัวครั้งแรก “แฮร์ริส” จัดหนัก “ทรัมป์” เรื่องนี้ โดยกล่าวหาว่าพยายามแบนการทำแท้ง ขณะที่เดโมแครตเห็นว่า ผู้หญิงควรมีสิทธิตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ “ไบเดน” ไม่เคยแตะ เพราะเป็นชาวคาทอลิกที่ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง

ถึงแม้คะแนนนิยมของ “แฮร์ริส” จะนำ “ทรัมป์” ไปเล็กน้อย และเดโมแครตพยายามปลุกกระแสว่าเงินบริจาคไหลมาเทมามากขึ้นจากการเปลี่ยนม้ากลางศึก แต่ใช่ว่า “กมลา แฮร์ริส” จะไม่มีจุดอ่อนเลย ย้อนกลับไปตอนหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2020 ความนิยมของ “แฮร์ริส” ลดลงอย่างรวดเร็ว จนต้องถอนตัวกลางคันในปลายปี 2019 เพราะไปไม่สุดกับจุดยืนทางการเมืองด้านสิทธิมนุษยชน และเปลี่ยนจุดยืนบ่อยในการหาเสียง จนผู้ฟังสับสน และเลิกสนับสนุนให้เธอเป็นแคนดิเดตพรรคเดโมแครตแข่งกับ “ไบเดน” ในขณะนั้น ซึ่งยังคมกริบและมีชื่อเสียงหนักแน่นกว่ามาก

ที่สำคัญผู้มีสิทธิเลือกตั้งฝ่ายซ้ายอาจลังเลใจที่จะยกคะแนนให้ “แฮร์ริส” เพราะไม่เห็นด้วยที่เธอสนับสนุนอิสราเอล และอยู่ข้าง “ไบเดน” ตอนออกเงินงบประมาณสนับสนุนการโจมตีฉนวนกาซาของอิสราเอล

ความลังเลของ “แฮร์ริส” อาจเป็นจุดอ่อนและจุดแข็งในตัวเอง เพราะเธอเองก็เคยออกมาเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา และเรียกความขัดแย้งนี้ว่าเป็นหายนะสำหรับประชาชนทั้งสองฝ่าย

ถ้าวัดกันตามพื้นฐานแล้วนโยบายของ “แฮร์ริส” แทบไม่ต่างจาก “ไบเดน” เพราะร่างโดยพรรคเดโมแครตเหมือนกัน ยกเว้นรายละเอียดบางอย่าง เช่น การสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง และการกำกับดูแล AI ที่ “แฮร์ริส” มีจุดยืนสุดโต่งกว่า ต้องการให้มีการกำกับดูแลจากภาครัฐอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบจากการใช้ AI รวมทั้งให้ความสำคัญกับการควบคุมการพัฒนาและการใช้ AI ซึ่งอาจขัดใจคนแวดวงอุตสาหกรรมไฮเทค

นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้กันว่า “แฮร์ริส” สนับสนุนการป้องกันตนเองของไต้หวัน, พยายามจับมือเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับอินเดีย และมุ่งเน้นการสกัดกั้นอิทธิพลของจีนในเอเชีย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายหลักระยะยาวของประเทศ ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มเห็นอกเห็นใจผู้อพยพมาตั้งรกรากในอเมริกาเหมือนกับบรรพบุรุษของตัวเอง

งานนี้ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้ท้าชิงวัย 78 ปี จากพรรครีพับลิกันจะไม่สบอารมณ์สุดๆที่ต้องแข่งกับผู้หญิงฉลาดอายุน้อยกว่าตัวเองมากแทนที่จะต่อสู้กับผู้เฒ่าที่โรยราแล้ว กระนั้น เขายืนกรานว่าจะสามารถเอาชนะ “แฮร์ริส” ง่ายดายกว่า “ไบเดน” และชี้เป้าว่า “แฮร์ริส” ก็เป็นแค่ตัวแทนของ “ไบเดน” ที่จะสานต่อนโยบายเศรษฐกิจและคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลชุดข้าวยากหมากแพงในปัจจุบัน.

มิสแซฟไฟร์

...

คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม