ายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์ต่อชาวอเมริกันผ่านสถานีโทรทัศน์เป็นครั้งแรกหลังประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อคืนวันที่ 24 ก.ค. ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมด้วยสมาชิกครอบครัวภายในห้องทำงานรูปไข่ ทำเนียบขาว ในคำปราศรัยสั้นๆราว 11 นาทีและสะเทือนอารมณ์ ไบเดนเริ่มต้นด้วยการยืนยันว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ที่ได้ทำหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เชื่อมั่นว่าการปกป้องประชาธิปไตยของชาติที่กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงนั้นสำคัญกว่าตำแหน่งใดๆ รวมถึงความทะเยอทะยานส่วนตัว

ไบเดนในวัย 81 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯที่มีอายุมากที่สุด ไม่ได้ให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าถอนตัวเนื่องจากปัญหาสุขภาพถดถอย หรือผลสำรวจที่ชี้ว่ามีแนวโน้มจะแพ้การเลือกตั้ง แต่ยอมรับเพียงว่ายอมหลีกทางเพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ของพรรคและประเทศ จึงทำให้ตัดสินใจส่งต่อหน้าที่ไปยังคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นวิธีรวมชาติเป็นหนึ่งเดียวที่สุด และหนุนนางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ โดยชื่นชมแฮร์ริสว่าเป็นผู้มากประสบการณ์ มีความแข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยความสามารถ

ที่สำคัญไบเดนยังยืนยันไม่ลาออกจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพรรครีพับลิกัน รวมทั้งสื่อมวลชนบางรายเรียกร้องให้ลาออก ผู้นำสหรัฐฯให้คำมั่นหนักแน่นจะทำงานต่อไปจบครบวาระ พร้อมย้ำเตือนถึงผลงานที่ผ่านมาทั้งความสำเร็จด้านเศรษฐกิจ การจ้างงาน การต่างประเทศ ไปจนถึงความพยายามลดจำนวนคนลอบข้ามเเดนมาสหรัฐฯ ขณะที่แผนงานในช่วง 6 เดือนข้างหน้า จะเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายของประชาชน และกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ต่อสู้กับปัญหาความรุนแรงจากปืนและวิกฤติจากสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งปฏิรูปศาลฎีกา

...

ด้านแฮร์ริสซึ่งมีรายงานว่าระดมทุนได้มากถึง 126 ล้านดอลลาร์ (ราว 4,552 ล้านบาท) นับแต่ไบเดนถอนตัวได้เดินทางไปเมืองอินเดียนาโปลิส รัฐอินเดียนา ขอคะแนนเสียงกับกลุ่มเซตา ปาย เบตา ที่มีสมาชิกเป็นหญิงผิวสีเป็นส่วนใหญ่ โดยระบุว่าต้องเลือกระหว่างวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นไปอนาคต หรือนำกลับไปยังอดีต และตอกย้ำว่าเธอกำลังต่อสู้เพื่ออนาคตของประเทศ ส่วนนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงเก้าอี้ผู้นำเป็นวาระที่ 2 หาเสียงที่เมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา โจมตีแฮร์ริสว่าเป็นพวกหัวรุนแรงฝ่ายซ้าย และยังเสียสติเรื่องสิทธิการทำแท้ง

ก่อนหน้านี้ผลการสำรวจความเห็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งของรอยเตอร์/อิปซอส เมื่อวันก่อน ชี้ให้เห็นว่าแฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์ 44% ต่อ 42% ดีกว่าไบเดนที่ตามหลังทรัมป์ 2% ก่อนที่ไบเดนจะยอมถอย.

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่