การเมืองสหรัฐฯถึงจุดสนุกเมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศถอนตัวจากการจะเป็นผู้แทนพรรคเด็มโมแครตไปสมัครแข่งขันเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ข้อบกพร่องของไบเดนคือความเฒ่าชะแรแก่ชรา งกๆ เงิ่นๆ หลงๆลืมๆ คนอเมริกันจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าหากส่งไบเดนไปเป็นตัวแทนพรรค โอกาสสอบตกมีสูง

ค.ศ.1991 เป็นต้นมา ผู้สมัครพรรคเด็มโมแครตมักจะสดและเป็นความหวังของคนอเมริกัน เช่น บิล คลินตัน ซึ่งเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ 20 มกราคม 1993 และชนะเลือกตั้งอีกครั้งใน ค.ศ.1996

บุชผู้ลูกเป็นประธานาธิบดีต่อจากคลินตัน 8 ปี จากนั้นก็เป็นยุคของโอบามา (ค.ศ.2009-2017) ตอนเสนอตัวเป็นผู้แทน พรรคใหม่ๆ ไม่มีใครให้ความสำคัญทั้งคลินตันและโอบามาเพราะอายุน้อย แต่ความหนุ่มและความสดทำให้คลินตันและโอบามาค่อยๆสะสมความนิยมจนได้เป็นผู้นำสหรัฐฯจากพรรคเด็มโมแครตนานถึงคนละ 2 สมัย 8 ปี

ค.ศ.1974 คลินตันในวัย 28 ปี ลงสมัคร สส.ในนามพรรคเด็มโมแครตปรากฏว่าสอบตก ผู้สนับสนุนหมดความเชื่อถือไปเยอะ แต่แกก็ค่อยๆรื้อฟื้นชื่อเสียงคืนด้วยการไปสมัครเป็นอัยการประจำรัฐอาร์คันซอ ตั้งใจทำงาน แล้วก็ไปสมัครแข่งขันจนได้เป็นผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอ

ค.ศ.1991 คลินตันในวัย 45 ปี เสนอตัวให้พรรคเด็มโมแครต คัดเลือกคนที่ได้ยินได้ฟังก็หัวเราะไอ้หนูผู้มาสมัครเป็นไม้ประดับ กันคิกคัก แต่แล้วคลินตันก็เอาชนะจอร์จ บุช จากพรรครีพับลิกันได้ และได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 42 เมื่อ 20 มกราคม 1993

ที่ผู้คนมองข้ามตั้งแต่แรกคือบารัค โอบามา อเมริกันผิวสีที่มีพ่อมาจากเคนยา เป็นทนายความและอาจารย์กฎหมาย เคยเป็นสมาชิก วุฒิสภา (2004-2008) ตอนนั้นนักวิเคราะห์แทบทุกสำนักทำนายทายว่านางฮิลลารี คลินตัน จะเป็นตัวแทนพรรคเด็มโมแครต

...

แทบทุกคนบอกว่า โอกาสของโอบามามีน้อยมาก ตอนนั้นโอบามาอายุ 47 ปี ค่อยๆสะสมความนิยมจากการปราศรัย ด้วยความสด ใส สะอาดทำให้ได้เป็นตัวแทนเด็มโมแครตไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับจอห์น แมคเคนของพรรครีพับลิกัน บั้นปลายท้ายที่สุด คนอเมริกันก็เลือกโอบามาเป็นประธานาธิบดีและเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 20 มกราคม 2009

ทรัมป์จากรีพับลิกันได้เป็นประธานาธิบดีเพียงสมัยเดียว สหรัฐฯก็ได้ประธานาธิบดีคนที่ 46 จากเด็มโมแครตที่ชื่อโจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ หรือโจ ไบเดน ตอนที่ขึ้นมาไบเดนอายุ 79 ปีแล้ว ความบกพร่องด้านความทรงจำทำให้คนอเมริกันบางส่วนกังวลใจในการเป็นผู้นำสมัยที่ 2 ของไบเดน เมื่อไบเดนประกาศถอนตัว หลายคนก็ถึงกับโล่งอก และต่างหลับตาจินตนาการถึงผู้สมัคร จากพรรคเด็มโมแครตคนใหม่ว่าจะเป็นผู้ใดหนอ

หลายคนบอกว่าผู้สมัครหน้าใหม่ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนจะสามารถไปแข่งขันกับทรัมป์ซึ่งเป็นกระดูกเบอร์ใหญ่ได้หรือ ท่านที่กังวลใจสงสัยในเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปดูบรรยากาศทางการเมืองของสหรัฐฯเมื่อ ค.ศ.1991 ตอนที่คลินตันเสนอตัวซึ่งตอนนั้นคลินตันยังไม่มีชื่อเสียงระดับชาติ หรือนึกถึงบรรยากาศใน ค.ศ.2008 ตอนที่ โอบามารณรงค์หาเสียงเพื่อที่จะให้ได้เป็นตัวแทนพรรค ทั้งคลินตันและโอบามา ‘โนเนม’ แต่เป็นม้าตีนปลายทั้งคู่

เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา กมลา แฮร์ริส ได้รับโอกาสเป็นรองประธานาธิบดีสตรีและผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ แต่น่าเสียดายที่ในช่วงที่เป็นรองฯ แฮร์ริสไม่ได้สร้างผลงานโดดเด่นเป็นที่ประทับใจอะไรเลย ผู้นำเด็มโมแครตระดับสูงหลายคนจึงยังเงียบๆ ไม่ออกตัวสนับสนุนนางแฮร์ริสอย่างออกหน้าออกตา

ขณะที่เขียนคอลัมน์ของวันนี้ มีเพียงนางเพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่ออกมาให้การสนับสนุนนางแฮร์ริสด้วยข้อความใน X ว่า “...ฉันรับรองรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ”

ฐานะที่เป็นรองฯ แฮร์ริสก็มีความชอบธรรมที่จะได้รับการเสนอตัวชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯแทนไบเดน อาจจะมีตัวละครใหม่ๆ โผล่ขึ้นมาแข่ง ต้องติดตามดูการเมืองสหรัฐฯกันอย่างใกล้ชิดครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com

คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม