ปรากฏการณ์ “วินโดวส์ล่ม” หรือปรากฏการณ์ “จอสีฟ้า” ที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและความมั่นคงทั่วโลกที่ใช้ซอฟต์แวร์ไมโครซอฟต์ ทั้ง Windows 10, Windows 11 หรือ Microsoft Office 365 ที่รวมแอปพลิเคชันของไมโครซอฟท์ อาทิ Outlook, OneDrive, Word, Excel, Power Point, OneNote, SharePoint และ Microsoft Teams ซึ่งมีผู้ใช้บริการทั่วโลกกว่า 1,400 ล้านราย สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯสามารถควบคุมโลกได้อย่างไร แค่เทคโนโลยีเดียวของไมโครซอฟท์บริษัทเดียว สหรัฐฯก็สามารถควบคุมองค์กรและบุคคลทั่วโลกได้กว่า 1,400 ล้านคนแล้ว ยังไม่นับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อีกมากมายของสหรัฐฯ อาทิ Google, Apple, Amazon และอีกนับไม่ถ้วน
ผู้นำสหรัฐฯทุกสมัย จึงต้องการให้อเมริกาเป็นผู้นำโลกแต่เพียงผู้เดียว ไม่ต้องการให้จีนเข้าแข่งขันในด้านเทคโนโลยี เพื่อแบ่งอำนาจและเงินตราจากสหรัฐฯ เพราะเทคโนโลยียุคใหม่สามารถควบคุมโลกทั้งใบได้ด้วยแป้นพิมพ์เดียว
วันนี้ ระบบปฏิบัติการ Windows ได้กู้กลับมาเป็นปกติแล้ว เลยขอพาท่านผู้อ่านย้อนไปดู สาเหตุที่ทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows ของ Microsoft ล่มไปทั่วโลก รวมทั้งไทยด้วย โดยเฉพาะ สายการบินแอร์เอเชีย ไม่สามารถเช็กอินให้ผู้โดยสารได้ เช่นเดียวกับสนามบินในสหรัฐฯและยุโรป สาเหตุเกิดจาก ความผิดพลาดในการอัปเดตระบบซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของ CrowdStrike ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทั้งการตรวจจับและป้องกันการแฮ็กข้อมูลจากแฮกเกอร์ โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่ในฟอร์จูน 500 ธนาคารระดับโลก บริษัทด้านสุขภาพระดับโลก บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ สถานีโทรทัศน์ เป็นลูกค้ากันมากมาย ผลกระทบจึงเกิดในวงกว้าง และความเสียหายที่เกิดขึ้นยังประเมินมูลค่าไม่ได้
...
ระบบการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของ CrowdStrike ใช้เทคโนโลยี Cloud ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆทางอินเตอร์เน็ต แตกต่างจากบริษัททั่วไปที่ใช้ระบบ Back End
ศุกร์ 19 กรกฎาคม CrowdStrike ได้อัปเดตซอฟต์แวร์ป้องกันภัยทางไซเบอร์ตัวใหม่ชื่อ Falcon ซึ่งบริษัทได้พัฒนาขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีระบบคลาวด์ ซอฟต์แวร์ใหม่ตัวนี้น่ากลัวมาก สามารถเข้าถึง “ระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์” ได้ทุกเครื่องทั่วโลก เพื่อสแกนหาภัยคุกคาม การอัปเดตซอฟต์แวร์ตัวใหม่นี้ ไม่รู้เป็นเพราะว่า ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ไม่ยอมให้เข้าถึงหรือไม่? จึงส่งผลให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ใช้ ระบบปฏิบัติการ Windows ล่มทันที จอคอมพิวเตอร์ทุกจอที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์จะกลายเป็น “จอสีฟ้า” ไม่สามารถทำงานได้ จนกระทั่ง CrowdStrike ได้ถอนการอัปเดต ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ก็สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติอีกครั้ง
เดวิส เวสตัน รองประธานไมโครซอฟท์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ไมโครซอฟท์ได้สื่อสารกับลูกค้า บริษัท CrowdStrike และนักพัฒนาภายนอกอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาข้อมูลในการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แนะวิธีการแก้ปัญหาชั่วคราว และเผยแพร่คำแนะนำวิธีแก้ปัญหาบนอุปกรณ์วินโดวส์ และส่งวิศวกรหลายร้อยคนไปทำงานร่วมกับลูกค้าโดยตรง เพื่อกู้คืนบริการต่างๆ โดยร่วมมือกับผู้ให้บริการ Cloud และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ อาทิ Google Cloud, AWS
“ระบบปฏิบัติการ Windows ล่มทั่วโลก” ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงของ Ecosystem ของระบบเทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกันในวงกว้าง อาทิ ผู้ให้บริการ Cloud ทั่วโลก ระบบแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ บริการด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ต่างๆ และลูกค้าผู้ใช้บริการหลายพันล้านคนทั่วโลก “สิ่งที่ท้าทาย” ต่อ “ความปลอดภัยของผู้ใช้” ก็คือ ซอฟต์แวร์ใหม่ของ CrowdStrike สามารถเข้าถึงระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ มันเป็นการ รุกล้ำเข้าไปใน “ข้อมูล” ส่วนบุคคลและองค์กรมากเกินไปหรือไม่ ถ้าเกิด “สงครามโลกครั้งที่ 3” ขึ้นมา สหรัฐฯกดปุ่มเดียว ระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกก็หยุดทำงานทันที กองทัพทั่วโลกเป็นง่อยทันที โดยไม่ต้องใช้ระเบิดนิวเคลียร์.
“ลม เปลี่ยนทิศ”