“ทรัมป์” เดินหน้าลุยต่อ เข้าร่วมประชุมพรรครีพับลิกัน หวังเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเปิดใจหวิดสิ้นชื่อ แต่โชคดีหันหน้าไปมองจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ทางด้านขวาก่อน ทำให้ กระสุนถูกใบหูขวา พร้อมชื่นชมทีมอารักขาที่พาออกจากจุดเกิดเหตุทั้งที่ตั้งใจกล่าวปราศรัยต่อ ด้าน “ไบเดน” แถลงขอให้ชาวอเมริกันลดความตึงเครียดทางการเมืองที่ทวีความรุนแรง ยันเวทีทางการเมืองควรเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนอย่างสันติ ไม่ใช่ทุ่งสังหาร และสหรัฐฯแก้ไขปัญหากันที่คูหาเลือกตั้ง ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนแฉมือปืนเป็นคนเงียบๆ มีความนอบน้อม แต่มีเพื่อนไม่มาก

สำนักข่าวต่างประเทศยังคงรายงานความคืบหน้าเหตุช็อกโลก การลอบสังหารนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี วัย 78 ปี จากพรรครีพับลิกัน ขณะขึ้นเวทีปราศรัยที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อช่วงเช้าวันที่ 13 ก.ค. ตามเวลาท้องถิ่น หรือวันที่ 14 ก.ค. ตามเวลาในไทย จนได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหูขวา ก่อนมือปืนที่มีอายุเพียง 20 ปี จะถูกหน่วยซีเคร็ต เซอร์วิส วิสามัญฆาตกรรมในที่เกิดเหตุ โดยเมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายทรัมป์เดินทางถึงเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน เข้าร่วมการประชุมใหญ่พรรครีพับลิกัน ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 ก.ค. เพื่อให้ที่ประชุมมีมติรับรองนายทรัมป์ เป็นตัวแทนพรรคไปชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯอย่างเป็นทางการ โดยขณะที่นายทรัมป์เดินลงจากเครื่องบิน ยังชูกำปั้นเป็นสัญลักษณ์ว่าพร้อมสู้ เหมือนกับตอนเกิดเหตุด้วย

ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์เปิดเผยกับ นสพ.เดอะ นิวยอร์ก โพสต์ ก่อนเดินทางไปเมืองมิลวอกีว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก และคิดว่าตัวเองอาจไม่รอดชีวิตแล้ว หากในตอนเกิดเหตุ ตัวเองไม่หันไปมองจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่นำเสนอข้อมูลประกอบการปราศรัยทางด้านขวา ส่วนแพทย์ที่ให้การรักษายังบอกด้วยว่าไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน และเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ ทั้งนี้ นายทรัมป์กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่อารักขา หรือหน่วยซีเคร็ต เซอร์วิสที่เข้ามาช่วยกำบังและพาลงจากเวที แม้ในตอนนั้นตนมีความตั้งใจอยากจะกล่าวปราศรัยต่อหน้ากลุ่มผู้สนับสนุนต่อ แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัย พร้อมตอบข้อสงสัยถึงเรื่องรองเท้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า เจ้าหน้าที่เข้ามาชนอย่างแรงจนรองเท้าหลุดและรองเท้าคู่นี้ก็คับด้วย ทั้งนี้ สื่อท้องถิ่นสหรัฐฯยังระบุด้วยว่า ที่ใบหูด้านขวาของนายทรัมป์มีผ้าพันแผลสีขาวขนาดใหญ่ปิดอยู่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้สื่อถ่ายรูป

...

ด้านนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงจากห้องทำงานรูปไข่ ที่ทำเนียบขาวสหรัฐฯ หลังเกิดเหตุพยายามลอบสังหารนายทรัมป์ โดยนายไบเดนขอให้ชาวอเมริกันลดความตึงเครียดทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงอย่างมาก พร้อมระบุว่า ไม่ควรทำให้การใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ แม้ความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เวทีทางการเมืองควรเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนอย่างสันติ ไม่ใช่ทุ่งสังหาร ในสหรัฐฯ เราแก้ไขปัญหากันที่คูหาเลือกตั้ง ไม่ใช่การใช้กระสุนปืน พลังในการเปลี่ยนแปลงอเมริกาควรอยู่ในมือของประชาชน ไม่ใช่อยู่ในมือของคนที่อาจเป็นมือสังหาร พร้อมกันนี้ นายไบเดนยังขอความร่วมมือประชาชนไม่คาดเดากันไปเองว่าแรงจูงใจในการก่อเหตุของผู้ลอบสังหารคืออะไร หรือร่วมมือกับใคร และควรปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยตนมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สืบสวนเหตุอย่างละเอียดและรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน สำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางแห่งชาติสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) แถลงว่า ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยอยู่ในรถยนต์ของนายโธมัส แมทธิว ครุกส์ ชาวอเมริกันผิวขาว วัย 20 ปี ผู้ก่อเหตุ ซึ่งจอดอยู่ใกล้กับเวทีปราศรัยในรัฐเพนซิลเวเนีย โดยพบวัตถุระเบิดจำนวนหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีระเบิดแสวงเครื่อง รวมทั้งพบอุปกรณ์ทำระเบิดบนรถและที่บ้านของนายครุกส์ ส่วนการตรวจสอบโซเชียลมีเดียของนายครุกส์เพื่อหาแรงจูงใจในการก่อเหตุ ไม่พบข้อความข่มขู่คุกคาม หรือสิ่งที่บ่งชี้ถึงอุดมการณ์ทางการเมือง เนื่องจากนายครุกส์ไม่ค่อยเล่นโซเชียลมีเดีย และไม่พบประวัติการเข้ารักษาอาการป่วยทางจิตเช่นกัน อีกทั้งนายครุกส์ก่อเหตุเพียงลำพัง ไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิด

ส่วนปืนที่ใช้ในการก่อเหตุเป็นปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ รุ่นเออาร์-15 ซึ่งนายแมทธิว ครุกส์ บิดาของผู้ก่อเหตุซื้อมาอย่างถูกกฎหมายเมื่อ 6 เดือนก่อน อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบว่า ผู้ก่อเหตุแอบนำปืนของบิดาไปใช้หรือไม่ ด้านนายแมทธิว ครุกส์ เผยกับ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า กำลังปะติดปะต่อเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น และจะไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อจนกว่าจะได้คุยกับตำรวจ

ด้านสำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่า นายโธมัส แมทธิว ครุกส์ มือปืนที่ถูกวิสามัญฆาตกรรม ทำงานเกี่ยวกับด้านโภชนาการที่สถานดูแลผู้ป่วยในบ้านเกิดคือรัฐเพนซิลเวเนีย โดยนายครุกส์จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเบเธล ปาร์ก ในปี 2565 ซึ่งเพื่อนร่วมชั้นเรียนเปิดเผยว่า นายครุกส์ เป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดมาก แต่ก็เป็นคนเงียบๆ มีความสนใจในเรื่องคอมพิวเตอร์และเล่นเกม อีกทั้งไม่มีใครรู้ถึงอุดมการณ์ทางการเมืองของนายครุกส์เลย นอกจากนี้ นายเฟรเดอริค มาช กัปตันทีมไรเฟิลของโรงเรียนระบุว่า นายครุกส์เคยเข้าร่วมทีมไรเฟิลของโรงเรียน แต่ออกจากทีมไปเพราะยิงปืนไม่เก่ง ส่วนนายเจสัน โคเลอร์ เพื่อนร่วมโรงเรียนชี้ว่า นายครุกส์ถูกกลั่นแกล้ง รวมทั้งถูกล้อเลียนการแต่งตัวเกือบทุกวัน และมักกินข้าวกลางวันคนเดียว

ขณะที่นายจิม แนปป์ ที่ปรึกษาของโรงเรียนระบุว่า นายครุกส์เป็นคนที่เงียบมาก มีความนอบน้อมและมีเพื่อนไม่มาก อีกทั้งไม่เคยทราบถึงแนวคิดทางการเมืองของนายครุกส์ คิดว่ามีบางอย่างกระตุ้นให้ก่อเหตุ ขณะที่นายเวส มอร์แกน เพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงบ้านของนายครุกส์เผยว่า พื้นที่เบเธล ปาร์ก เป็นพื้นที่ที่มีผู้คนชนชั้นกลางค่อนบนอาศัยอยู่ราว 33,000 คน ทั้งนี้ นายโธมัส แมทธิว ครุกส์ ลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน แต่เคยบริจาคเงินส่วนตัวให้กับโครงการระดมทุนของนักการเมืองพรรคเดโมแครต ขณะที่นางแมรี ครุกส์ มารดา ลงทะเบียนเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต ส่วนนายแมทธิว ครุกส์ ผู้เป็นบิดา มีแนวคิดแบบอิสระนิยม สนับสนุนเสรีภาพให้แก่ปัจเจกบุคคล เชื่อในกลไกตลาดเสรีที่ปราศจากการแทรกแซงจากรัฐบาล และมีแนวคิดจำกัดขอบเขตอำนาจของรัฐบาล

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่

...