แพทย์หลายคนวิเคราะห์อาการของ โจ ไบเดน หลังถูกบันทึกภาพได้หลายครั้งว่าเขามีอาการยืนแข็งทื่อหลายวินาที จนต้องมีคนคอยช่วยเหลือ
สำนักข่าวเดลี่เมล รายงานเมื่อ 17 มิ.ย. 2567 ว่า เรื่องปัญหาสุขภาพของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ วัย 81 ปี กำลังถูกพูดถึงอย่างมาก หลังจากเขาแสดงอาการผิดปกติออกมาหลายครั้งแล้วภายในช่วงเวลาไม่กี่วัน ก่อนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้
ทั้งผู้เชี่ยวชาญและชาวอเมริกันต่างออกมาแสดงความกังวลเนื่องจากสุขภาพของ ไบเดน หลังเขาเกิดอาการ ‘ยืนแข็งทื่อ’ แบบแปลกๆ หลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยล่าสุดเกิดขึ้นที่งานระดมทุนในนครลอสแอนเจลิส เมื่อคืนวันเสาร์ที่ (15 มิ.ย.) ไบเดน หยุดเคลื่อนไหวหลังกล่าวปราศรัย จ้องนิ่งไปทางฝูงชนนานหลายวินาที ก่อนที่ บารัค โอบามา ที่มาร่วมงานด้วยจะพาเขาลงจากเวที
ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ปฏิเสธรายงานของเดลี่เมลที่ว่า นายไบเดน มีอาการแข็งทื่อว่า ไม่เป็นความจริง และเป็นข่าวปลอม พร้อมอธิบายว่า ไบเดน เพียงยืนดื่มด่ำกับเสียงปรบมือของผู้คนไม่กี่วินาทีนั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่ถึง 1 สัปดาห์ก่อนหน้านั้นก็เพิ่งมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอแสดงให้เห็นว่า ไบเดน ยืนตัวแข็งทื่อที่งานเลี้ยงที่ทำเนียบขาว ซึ่งมีการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปิน กอสเปล เคิร์ก แฟรงคลิน โดยที่ ไบเดน จ้องมองไปข้างหน้าในขณะที่ รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส เต้นอยู่ข้างเขา และในการกล่าวสุนทรพจน์ในงาน ไบเดน ก็พูดไม่ค่อยชัดเจน
...
ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันที่การประชุมสุดยอดผู้นำชาติ จี7 (G7) ที่อิตาลี ช่างกล้องตาดีก็จับภาพได้ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอาการงุนงง หลงทิศ ตั้งแต่ตอนที่เดินทางมาถึงอิตาลีและลงจากเครื่องบิน จนเจ้าหน้าที่ต้องเดินตามไปประกบเพื่อนำทาง และตอนกำลังร่วมชมการสาธิตการกระโดดร่ม ไบเดน ก็เดินไปคนละทางกับผู้นำคนอื่นๆ จน จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ต้องมาพาเขากลับไปรวมกลุ่ม
ทั้งนี้ ทำเนียบขาวสหรัฐฯ ปฏิเสธเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตของ นายไบเดน มาตลอด โดยเมื่อเดือนกันยายน ผลการตรวจร่างกายประจำปีของ ไบเดน ที่ได้รับการเปิดเผยออกมาก็ชี้ว่า ‘ไม่มีสิ่งที่น่ากังวลใหม่ๆ’ เกี่ยวกับสุขภาพของเขา
อย่างไรก็ตามรายงานนั้นระบุอาการทางการแพทย์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไว้หลายอย่าง รวมถึง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ, ภาวะกรดไหลย้อน, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, คอเลสเตอรอลสูง, ภูมิแพ้อากาศตามฤดูกาล, ภาวะข้ออักเสบ และเส้นประสาทบริเวณเท้าเสียหาย
นอกจากนั้นรายงานยังระบุชื่อยาที่ ไบเดน ใช้เพื่อรักษาอาการเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งถูกระบุว่ามีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดอาการสับสนด้วย
อย่างไรก็ตามตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าอาการแข็งทื่อของ ไบเดน อาจเป็นสัญญาณของอาการป่วยบางอย่าง เช่น ดร.เชลา นาซาเรียน ศัลยแพทย์พลาสติกในลอสแอนเจลิส กล่าวว่า อาการยืนตัวแข็ง, ใบหน้าเฉยเมย, แขนแกว่งได้น้อยลง และกะพริบตาน้อยลง น่าจะเป็นผลจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เหมือนกับกรณีของโรคพาร์กินสัน
“หากเป็นคนชราปกติทั่วไป ฉันคงไม่ออกมาโพสต์ แต่การสังเกตเห็นจุดอ่อนในตัวผู้บัญชาการสูงสุดของเราเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ มันจะกระทบต่อพวกเราทุกคน” ดร.นาซาเรียน ระบุบน X
ขณะที่ ดร.ไซอาด นาสเรดดีน นักประสาทวิทยาผู้วางมาตรฐานสูงสุดในการทดสอบภาวะสมองเสื่อม บอกกับเดลี่เมลว่า การพูดไม่ชัดเจนเป็นหนึ่งในอาการของผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ซึ่งกระทบต่อระดับฮอร์โมนสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว แต่เขาไม่ได้เจาะจงถึง ไบเดน แต่อย่างใด
นอกจากผลข้างเคียงต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายแล้ว โรคพาร์กินสันยังอาจนำไปสู่ปัญหาด้านการรับรู้และการคิด รวมถึงภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวลด้วย โดยในช่วงที่ผ่านมา ไบเดน มีการสับสนในการจำชื่อผู้นำประเทศต่างๆ เช่น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์เขาเรียกชื่อผู้นำอียิปต์ผิดเป็นชื่อประธานาธิบดีเม็กซิโก
ในเดือนเดียวกัน ไบเดน ลืมชื่อของกลุ่มฮามาส ระหว่างงานแถลงข่าว ขณะที่ 2 วันก่อนหน้านั้น ไบเดน เรียกชื่อ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ผิดเป็น ฟรองซัวส์ มิตแตร์รองด์ อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 28 ปีก่อน เขายังจำชื่อของ นายเฮลมุต โคห์ล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนีผู้ล่วงลับ สลับกับชื่อผู้นำคนก่อนอย่าง อังเกลา แมร์เคิล ด้วย
ดร.นาสเรดดีน กล่าวว่า การจำชื่อหรือวันสับสนเป็นอาการน่ากังวลที่ไม่ควรเกิดขึ้นในการแก่ชราตามปกติ แม้มันเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่หากมันเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ควรกังวล
ด้าน ดร.สจ๊วต ฟิชเชอร์ เรียกร้องให้ นายไบเดน เข้ารับการทดสอบภาวะความจำเสื่อม แล้วเปิดเผยผลการตรวจต่อสาธารณะ โดยเขายอมรับว่าไม่มีใครอยากเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเช่นนี้ให้คนอื่นรับรู้ แต่ ไบเดน เป็นข้าราชการ เป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการเลือกตั้ง จึงต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชนที่โหวตให้เขา.
...
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : dailymail