สิ่งที่มักก่อกวนใจของผู้ใช้แรงงาน หรือกรรมกรออฟฟิศอย่างเราๆ ในทุกวันนี้ คงหนีไม่พ้นกับคำถามที่ว่า “เงินเดือนจะพอใช้หรือไม่” หรือ “จะถูกเลิกจ้างหรือเปล่า”
ไม่นานมานี้สำนักข่าวเอ็นบีซี นิวส์ของสหรัฐฯ รายงานประเด็นที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันบนโลกออนไลน์อย่างติ๊กต่อก ที่มีชาวอเมริกันหลายคนออกมาบอกเล่าประสบการณ์การถูกเลิกจ้าง หรือเลย์ออฟ จำนวนมาก และที่ผ่านมา ข่าวคราวบริษัทเอกชนประกาศเลิกจ้างพนักงานก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ทั้งนี้ข้อมูลจากชาเลนเจอร์ เกรย์ แอนด์ คริสต์มาส บริษัทวิเคราะห์และวิจัยตลาดแรงงานเผยว่า ปีนี้มีหลายบริษัทในสหรัฐฯ เลย์ออฟพนักงานแล้วราว 166,945 คน
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ชาวอเมริกันโดยเฉพาะในหมู่เจน ซี (เกิดระหว่างปี ค.ศ.1997-2012) และมินเลนเนียล (เกิดระหว่างปี ค.ศ.1981-1996) เริ่มมองหาอาชีพที่มีความมั่นคงมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงการถูกเลย์ออฟ โดยผลสำรวจจากแฮนด์เชค เว็บไซต์จัดหางานของสหรัฐฯ ระบุว่า นักศึกษาในปีการศึกษา 2567 ก็มีแนวโน้มต้องการทำงานที่มีความมั่นคงมากถึง 77%
แม้การทำงานภาครัฐจะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าภาคเอกชนราว 22% (เมื่อเทียบกับตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน) แต่เพราะงานราชการยังมีสวัสดิการที่ดีอย่างระบบการประกันสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลจ่ายสมทบให้ราว 72-75% รวมถึงการทำงานในภาครัฐยังมีสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ นั่นคือสมดุลในชีวิตการทำงานมากกว่าในหน่วยงานเอกชน จึงไม่แปลกใจถ้าหลายคนจะหันมาให้ความสนใจกับงานราชการมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ต้องจับตามองคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย.ปีนี้ ซึ่งเรียกได้ว่ากลาย เป็นการรีแมตช์ระหว่าง “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต กับ “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตผู้นำสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งทรัมป์ที่มีแต้มต่อในการชิงชัยผู้นำก็เคยลั่นไว้ว่า หากได้รับเลือกให้เป็นผู้นำสหรัฐฯคนต่อไป จะจัดการกำลังคนภาครัฐเสียใหม่ แถมที่ผ่านมายังวิพากษ์วิจารณ์ว่าการมีอยู่ของรัฐบาลกลางนั้นช่างสิ้นเปลือง ฉ้อฉล และใช้อำนาจในทางที่ผิด
...
งานราชการในสหรัฐฯ จะมั่นคงดังที่หลายคนวาดฝันไว้จริงหรือไม่ คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าใครจะเป็นผู้กำหนดชะตาของประเทศ...
ญาทิตา เอราวรรณ