การต่อสู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่เป็นประเด็นใหญ่ในสังคมทั่วโลกอาจเปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เพราะโลกของเรากำลังเข้าสู่ยุค “ความไม่เท่าเทียมแบบอัปเกรด” ที่อภิสิทธิ์ชนกลุ่มเล็กๆ กลายเป็นมนุษย์ที่ได้รับการอัปเกรดแล้ว พวกเขาจะเพลิดเพลินกับความสามารถที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งจะทำให้อภิมนุษย์เหล่านี้เดินหน้าตัดสินใจเรื่องสำคัญๆที่สุดของโลกต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่มีวันได้รับการอัปเกรด และสุดท้ายต้องตกเป็นชนชั้นผู้ต่ำต้อยโงหัวไม่ขึ้น

“ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” เจ้าของหนังสือขึ้นหิ้ง “เซเปียนส์ประวัติย่อมนุษยชาติ” เขียนเตือนไว้ในหนังสือเล่มที่สาม “โฮโมดีอุส ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้” เพื่อพาเรามองไปยังโลกอนาคต โดยผู้เขียนย้ำเสมอว่าเรื่องที่กล่าวถึงนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจริง มันเป็นแค่อนาคตทางเลือกแบบหนึ่งเท่านั้น!!

“ศาสตราจารย์แฮรารี” ยกบทสัมภาษณ์ของ “แองเจลินา โจลี” ในเดอะนิวยอร์กไทม์ส ที่พูดถึงค่าใช้จ่ายอันสูงลิ่วถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการทดสอบพันธุกรรม และพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมถึง 97% ทำให้เธอตัดสินใจตัดเต้านมทั้งสองข้างทิ้ง แน่นอนว่าตัวเลขนี้ยังไม่รวมค่าผ่าตัดเต้านม, ศัลยกรรมตกแต่งใหม่ และการรักษาที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ

นี่คือโลกที่คน 1,000 ล้านคน มีรายได้ต่ำกว่าวันละ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ และอีก 1,500 ล้านคน มีรายได้ระหว่างวันละ 1-2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงแม้พวกเขาจะทุ่มเททำงานหนักตลอดชีวิต คนเหล่านี้ก็ไม่มีวันจ่ายค่าทดสอบพันธุกรรม 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯได้

...

ช่องว่างทางเศรษฐกิจในปัจจุบันมีแต่จะถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ นับถึงช่วงต้นปี 2016 คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 62 คน มีทรัพย์สินเท่ากับคนที่ยากจนที่สุดในโลก 3,600 ล้านคน จากจำนวนประชากรโลกทั้งหมด 7,200 ล้านคน

ถึงแม้ความก้าวหน้าทางการแพทย์จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการทดสอบดีเอ็นเอมีแนวโน้มลดต่ำลง แต่ในขณะที่มวลชนส่วนใหญ่ค่อยๆเข้าถึงการรักษาแบบเก่าได้ พวกอภิสิทธิ์ชนจะกระโดดล้ำไปข้างหน้าอีกหลายก้าวเพื่อไม่ให้ใครตามทัน ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ คนรวยได้ประโยชน์ทั้งทางสังคมและการเมืองอย่างมากมาย แต่ไม่เคยมี “ช่องว่างทางชีววิทยา” อันมหึมาที่แบ่งแยกคนรวยออกจากคนจนเหมือนยุคต่อจากนี้ ในอนาคตเราจะได้เห็นช่องว่างทางกายภาพและความสามารถด้านสติปัญญาจริงๆ ที่แยกห่างระหว่างชนชั้นสูงที่อัปเกรดแล้วกับส่วนที่เหลือของสังคม

ถ้ามองโลกอนาคตในแง่ดี ปี 2070 คนยากจนอาจมีความสุขกับการรักษาพยาบาลที่ดีกว่าปัจจุบันมาก แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขากับคนรวยก็ถ่างกว้างขึ้นอยู่ดี ผู้คนจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆที่โชคดีกว่า แทนที่จะเปรียบกับบรรพบุรุษที่มีชะตากรรมยากลำบากกว่ามาก

ตรงกันข้ามหากมองในแง่ร้าย ปี 2070 คนยากจนอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะรัฐกับพวกอภิสิทธิ์ชนไม่สนใจจะจัดการรักษาพยาบาลให้คนยากจนอีกต่อไป

พลังของมวลชนที่เคยเป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ สร้างเศรษฐกิจโลกในยุคศตวรรษที่ 20 กำลังจะหมดสิ้นพลานุภาพลง พร้อมกับการปิดฉากของยุคบริการสาธารณสุขเพื่อมวลชน เมื่อโลกอนาคตถูกแทนที่ด้วยพลังของอัลกอริทึมอันทรงปัญญาที่ทำให้เกิด “ชนชั้นไร้ประโยชน์” เต็มบ้านเต็มเมือง

ถ้าเปรียบกับรถไฟขบวนใหญ่ เกมใหม่ของอภิสิทธิ์ชนในยุคศตวรรษที่ 21 คือการปล่อยตู้ชั้นสามที่เต็มไปด้วย “ชนชั้นไร้ประโยชน์” ทิ้งไป แล้วพุ่งทะยานต่อไปข้างหน้าด้วยตู้ชั้นหนึ่งที่มีแต่เฉพาะอภิมนุษย์ผู้อัปเกรดแล้วเท่านั้น

ถามว่ากลุ่มอภิสิทธิ์ชนแห่งยุคศตวรรษที่ 21 จะเลือกอะไร ระหว่างลงทุนลงแรงเพื่อแก้ปัญหาของคนยากจนหลายพันล้านคน กับการอัปเกรดคนรวยแค่ไม่กี่ล้านคน เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้เผ่าพันธุ์ตัวเอง.

(ภาพจาก organizeworkers)

มิสแซฟไฟร์

คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม