สถาบันวิจัยประชากรของจีน เปิดเผยว่า จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าเลี้ยงดูบุตรสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับจีดีพีต่อประชากร
รายงานของสถาบันวิจัยประชากรชั้นนำของจีน ระบุว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงลูกตั้งแต่แรกเกิดจนสำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยในประเทศจีน อยู่ที่ประมาณ 680,000 หยวน (ราว 3.4 ล้านบาท) และค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรในขณะนี้ติดอันดับสูงที่สุดในโลก
รายงานดังกล่าวเผยแพร่โดยสถาบันวิจัยประชากรยู่วา ที่นำโดยนายเหลียง เจี้ยนจาง นักประชากรศาสตร์ชื่อดัง และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ท่องเที่ยวออนไลน์ซีทริป (Ctrip) ที่ทำการศึกษาเรื่องต้นทุนทางเศรษฐกิจในการเลี้ยงดูบุตรในประเทศจีน และปัจจัยสำคัญโดยการวิเคราะห์สถิติระดับชาติล่าสุดที่เผยแพร่ในปี 2566
รายงานระบุว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 17 ปีในประเทศจีนอยู่ที่ประมาณ 538,000 หยวน (ราว 2.69 ล้านบาท) และเมื่อสำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยจะอยู่ที่ 680,000 หยวน (ราว 3.4 ล้านบาท) ตัวเลขนี้สูงกว่าตัวเลขประมาณการในรายงานฉบับล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อ 2 ปีที่แล้วอย่างมาก ซึ่งสะท้อนถึงภาระทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในการเลี้ยงดูบุตร อันเป็นผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และค่าครองชีพที่สูงขึ้น
การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรระหว่างจีนและประเทศอื่นๆ เผยให้เห็นว่าครอบครัวชาวจีนมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรจนกระทั่งอายุ 18 ปี คิดเป็น 6.3 เท่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีต่อหัวประชากร ซึ่งเป็นหนึ่งในระดับที่สูงที่สุดในโลก ตัวเลขนี้ยังสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ที่มีค่าเลี้ยงดูบุตรคิดเป็น 4.26, 4.11, 2.24 และ 2.08 เท่าตามลำดับ
...
นครเซี่ยงไฮ้และกรุงปักกิ่งมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกสูงที่สุดอยู่ที่ 1.01 ล้าน (ราว 5.05 ล้านบาท) และ 936,000 หยวน (ราว 4.68 ล้านบาท) ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับรายงานฉบับปี 2565 ทั้งสองเมืองมีแนวโน้มลดลง 16,000 หยวน และ 33,000 หยวน ตามลำดับ
รายงานยังแสดงให้เห็นว่า นอกเหนือจากต้นทุนทางการเงินแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญสองประการที่มีอิทธิพลต่อความเต็มใจที่จะมีบุตร ได้แก่ ต้นทุนเวลาและต้นทุนเสียโอกาส โดยต้นทุนด้านเวลาประกอบด้วยการลาคลอดบุตร ดูแลเด็ก ไปรับที่โรงเรียน ช่วยลูกๆ ทำการบ้าน และงานบ้านที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนด้านโอกาสรวมถึงทักษะการทำงานที่ลดลง เนื่องจากการลาหยุดงานนานเพื่อคลอดบุตร ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงเมื่อกลับมาทำงาน การถูกย้าย หรือถูกลดเงินเดือน และสูญเสียโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง และอื่นๆ อีกมากมาย
เหอ ยาฟู่ หนึ่งในผู้เขียนรายงาน กล่าวกับเว็บไซต์โกลบอลไทมส์ของทางการจีนว่า "ในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ส่วนใหญ่ตกเป็นของผู้หญิงในสังคมจีน และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หลายคนเลือกที่จะไม่มีบุตร นอกจากนี้ เนื่องจากการคลอดบุตร สตรีที่ต้องทำงานนอกบ้านอาจประสบปัญหาเรื่องชั่วโมงทำงานและอัตราค่าจ้างที่ลดลงอย่างมาก ทำให้พวกเธอตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างการทำงานและความรับผิดชอบต่อครอบครัว"
เมื่อเผชิญกับความท้าทายดังกล่าว นายเหลียงจึงเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดการกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นของการคลอดบุตร ส่วนในระดับชาติ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องนำเสนอนโยบายโดยเร็วเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรสำหรับครอบครัว เช่น การให้เงินอุดหนุน การจัดตั้งสถานดูแลเด็ก การส่งเสริมการคลอดบุตรและการลาของผู้เป็นพ่ออย่างเท่าเทียมกัน และการปกป้องสิทธิในการเจริญพันธุ์ของหญิงโสด ขณะที่ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น การจ้างพี่เลี้ยงเด็กชาวต่างชาติ การสนับสนุนเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ และการยกเลิกการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นก็ควรได้รับการพิจารณาเช่นกัน
นายเหลียงแนะนำว่า "ค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรที่สูงเป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ส่งผลต่อความเต็มใจของครอบครัวที่จะมีลูก และสิ่งที่มีความสำคัญอันดับแรกและสำคัญที่สุดก็คือสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิง"
คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน ประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ว่าจะยังคงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการพัฒนาประชากรคุณภาพสูงเข้ากับมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้นอย่างใกล้ชิด และจะเพิ่มประสิทธิภาพนโยบายด้านประชากรต่อไป
เจ้าหน้าที่กล่าวว่าจีนจะยังคงส่งเสริมการพัฒนาบริการดูแลเด็ก และผลักดันให้มีการเพิ่มวิชาเอกบริการดูแลทารกและเด็กเล็กในโรงเรียนอาชีวศึกษาระดับต้น วิทยาลัยอาชีวศึกษาระดับสูง และวิทยาลัยระดับปริญญาตรี นอกจากนี้ยังจะส่งเสริมการสนับสนุนสถาบันทางการแพทย์ในการพัฒนาบริการดูแลเด็ก
หลายภูมิภาคในจีนออกเงินอุดหนุนการคลอดบุตรสูงสุด 20,000 หยวน สำหรับครอบครัวที่มีลูก 3 คน ขณะที่บางพื้นที่ยังได้ออกนโยบายด้านที่อยู่อาศัยที่เป็นประโยชน์สำหรับครอบครัวที่มีบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหลายคน
นอกจากนั้น เมื่อปีที่แล้ว ทางการจีนยังได้นำเอาขั้นตอนเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ 16 ขั้นตอนบรรจุไว้ในขอบเขตการชดเชยค่าประกันสุขภาพ เช่น การผสมเทียมมดลูก การย้ายตัวอ่อน และกระบวนการคัดเลือกอสุจิ.
ที่มา: Globaltimes
ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign