ชาวอเมริกันถึง 1 ใน 4 โดยเฉพาะในภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องสูดดมมลพิษจากไฟป่าประเทศแคนาดา โดยมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงอีกจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

สถานการณ์ไฟป่าแคนาดาในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อมลพิษทางอากาศของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง โดยกลุ่มควันไฟป่าทำให้คุณภาพอากาศในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา โดยคาดว่าสถานการณ์น่าจะเลวร้ายลงอีกเนื่องจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

ผลงานวิจัยชิ้นใหม่ของ มูลนิธิเฟิร์ส สตรีท ชี้ว่า ชาวอเมริกันราว 83 ล้านคน หรือราว 1 ใน 4 ของชาวอเมริกันทั้งหมด ต้องเผชิญกับสถานการณ์มลพิษทางอากาศที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ โดยจะต้องสูดอากาศที่มีค่ามลพิษสูงเกินค่ามาตรฐาน และจะเพิ่มจำนวนผู้ได้รับผลกระทบเป็น 125 ล้านคน ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า โดยระดับ AQI ที่อยู่ในระดับสีแดง หมายถึง การทำกิจกรรมกลางแจ้งจะส่งผลกระทบต่อปอด รวมทั้งทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจอย่างอาการเจ็บหน้าอก หรือไอ เพิ่มขึ้นได้

แม้ว่าช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาอเมริกาจะมี พ.ร.บ.อากาศสะอาด ปี 1970 ที่ช่วยควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงาน และยานยนต์ ทำให้คุณภาพอากาศอยู่ในค่ามาตรฐานได้ แต่เนื่องจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้สภาพอากาศเกิดการแปรปรวน อุณหภูมิสูงขึ้น และความแห้งแล้ง ส่งผลให้สถานการณ์ไฟป่าจะรุนแรงยิ่งขึ้น และมลพิษก็จะเป็นภัยคุกคามสุขภาพของประชาชน ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ รวมทั้งการย้ายถิ่นฐานของประชากรเพื่อหนีมลพิษจะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่นั้นๆ อีกด้วย.

...

ที่มา: CBS

คลิกอ่านข่าวเกี่ยวกับ มลพิษ