อัยการเกาหลีใต้สั่งฟ้องผู้บัญชาการตำรวจกรุงโซลในข้อหาละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ต่อเหตุการณ์เบียดกันตายในวันฮาโลวีนเมื่อปี 2565 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 159 ศพ

สำนักงานอัยการเขตตะวันตกของกรุงโซล ระบุในแถลงการณ์ว่า คิม กวางโฮ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจนครบาลกรุงโซล ถูกตั้งข้อหาละเลยการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต 

คำแถลงระบุว่า ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจ แต่เขากลับไม่ได้ใช้มาตรการที่จำเป็น เช่น การจัดกำลังตำรวจให้เพียงพอ และควบคุมการบังคับบัญชาและการกำกับดูแลที่เหมาะสมในวันที่เกิดเหตุ แม้ว่าเขาจะสามารถคาดการณ์ได้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพความแออัดยัดเยียดในย่านอิแทวอน 

คิม ถือเป็นตำรวจระดับสูงสุดที่ต้องเผชิญการพิจารณาคดีจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เขาถูกตั้งข้อหาโดยไม่มีการควบคุมตัว

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2565 ผู้คนหลายหมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่อายุ 20 และ 30 ปี ได้ออกไปร่วมเฉลิมฉลองวันฮาโลวีนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 ในย่านอิแทวอน แหล่งสถานบันเทิงยามค่ำคืนในกรุงโซล แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายลง เมื่อผู้คนนับแสนหลั่งไหลเข้ามาในตรอกแคบๆ จนนำไปสู่เหตุเบียดกันตาย

เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว คณะสอบสวนพิเศษของตำรวจได้ทำสำนวนส่งฟ้องต่อสำนักงานอัยการฯ ว่าผู้บัญชาการตำรวจนครบาลโซลและเจ้าหน้าที่อีก 22 นาย มีทั้งตำรวจ เจ้าหน้าที่กู้ภัย และเจ้าหน้าที่เขต ล้มเหลวในการรับมือกับโศกนาฏกรรมดังกล่าว

ในเวลาต่อมา สำนักงานอัยการเขตโซลตะวันตกสั่งฟ้องหัวหน้าสถานีตำรวจเขตยงซาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของย่านอิแทวอน หัวหน้าสำนักงานเขตยงซาน และเจ้าหน้าที่หลายคนหลังเกิดเหตุ แต่ยังไม่สั่งฟ้องผู้บัญชาการตำรวจนครบาลโซล จนกระทั่งครั้งนี้ ส่วนอดีตหัวหน้าสถานีดับเพลิงยงซานไม่ถูกฟ้อง และพ้นจากข้อสงสัยเรื่องละเลยการปฏิบัติหน้าที่

...

คำแถลงของอัยการกล่าวหาว่า คิม พร้อมด้วยหัวหน้าสถานีตำรวจยงซาน และหัวหน้าสำนักงานเขตยงซาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ร่วมกันทำให้มีผู้เสียชีวิต 158 รายและบาดเจ็บ 312 ราย อันเป็นผลมาจากความประมาทเลินเล่อทางวิชาชีพ

ด้านครอบครัวของเหยื่อกล่าวว่า พวกเขาเสียใจกับกระบวนการตัดสินใจที่ยาวนานของการดำเนินคดีก่อนที่จะตั้งข้อหากับนายคิม

ขณะที่ตัวแทนครอบครัวของผู้เสียชีวิต ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้นายคิมลาออกจากตำแหน่ง หรือประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ผู้นำเกาหลีใต้ ต้องปลดนายคิมพ้นตำแหน่ง เพื่อให้มีการนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็วที่สุด.

ติดตามข่าวต่างประเทศเพิ่มเติมที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign