ศาลสูงกรุงลอนดอนมีคำตัดสิน นักข่าวในเครือหนังสือพิมพ์ Mirror Group แฮกโทรศัพท์เจ้าชายแฮร์รี่ และสั่งให้จ่ายค่าเสียหายกว่า 6.2 ล้านบาท

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้พิพากษาศาลสูงกรุงลอนดอนมีคำตัดสินในวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค. 2566 ว่า เจ้าชายแฮร์รี่ตกเป็นเหยื่อการแฮกโทรศัพท์ และพฤติกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ ซึ่งก่อเหตุโดยนักข่าวในเครือหนังสือพิมพ์ มิร์เรอร์ (Mirror Group Newspapers) สื่อใหญ่ของอังกฤษ

เจ้าชายแฮร์รี่กลายเป็นเชื้อพระวงศ์อังกฤษพระองค์แรกในรอบกว่า 130 ปี ที่ได้ขึ้นให้การในชั้นศาล หลังพระองค์ทรงมาเป็นพยานระหว่างการพิจารณาคดีในเดือนมิถุนายน โดยทรงกล่าวหา Mirror Group ว่า มุ่งเป้าหมายมาที่พระองค์เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว

ในคำตัดสินเมื่อวันศุกร์ ผู้พิพากษาสั่งให้ Mirror Group ซึ่งเป็นผู้ตีพิมพ์สื่อใหญ่อย่าง Daily Mirror, Sunday Mirror และ Sunday People จ่ายค่าเสียหายแก่เจ้าชายแฮร์รี่เป็นเงิน 140,600 ปอนด์ หรือราว 6.2 ล้านบาท และมีข้อสรุปด้วยว่า บรรณาธิการและผู้บริหารของ Mirror Group ก็รู้เรื่องการแฮกโทรศัพท์และการกระทำผิดอื่นๆ ต่อเจ้าชายแฮร์รี่ด้วย

คำตัดสินดังกล่าวถูกมองว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของเจ้าชายแฮร์รี่ โดยพระองค์มีแถลงการณ์ลายลักษณ์อักษร ระบุว่า “วันนี้เป็นวันที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเปิดเผยความจริง เช่นเดียวกับการรับผิดชอบ” พระองค์ยังทรงเรียกร้องให้ทางการกับตำรวจ เคลื่อนไหวเพื่อนำตัวผู้ที่ถูกศาลระบุว่ากระทำการละเมิดกฎหมายมาลงโทษด้วย

ทั้งนี้ ดยุกแห่งซัสเซกซ์ เป็น 1 ในโจทก์กว่า 100 คน ซึ่งรวมถึง นักแสดง, นักกีฬา, ผู้มีชื่อเสียง และผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับคนเด่นดัง ที่ตัดสินใจฟ้องร้องดำเนินคดีกับ Mirror Group ในข้อหา แฮกโทรศัพท์ และใช้วิธีการผิดกฎหมายเพื่อรวบรวมข้อมูล ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นระหว่างปี 2534-2554

...

คดีของเจ้าชายแฮร์รี่กับโจทก์อีก 3 คน เป็นคดีตัวอย่าง ซึ่งผู้พิพากษา ทิโมธี แฟนคอร์ท พบว่า จากบทความของสื่อในเครือ Mirror Group ราว 140 บทความที่เจ้าชายแฮร์รี่กล่าวหา มี 33 บทความที่เป็นผลจากพฤติกรรมผิดกฎหมายตลอดระยะเวลา 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2541 และ 15 บทความในจำนวนนั้น เป็นผลจากการแฮกโทรศัพท์ หรือมือถือของผู้เกี่ยวข้องกับเจ้าชายแฮร์รี่

“ผมพิจารณาว่าโทรศัพท์ของพระองค์ถูกเจาะเข้าไปในระดับหนึ่ง และพฤติกรรมนี้อาจถูกควบคุมอย่างระมัดระวังโดยใครบางคนของหนังสือพิมพ์แต่ละเจ้า” ผู้พิพากษา แฟนคอร์ทกล่าว แต่เสริมด้วยว่า สมาชิกบอร์ดบริหารเกือบทุกคนของ Mirror Group ซึ่งเป็นเจ้าของโดยบริษัท Reach ไม่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : cna