ชะตาฟ้าดินช่างพิเรนทร์...กรณี ไทยถูกเตะตัดขาจากโหมดแรก นับแต่วันที่ 25 กันยายนเปิด “ฟรีวีซ่า” จีนกับคาซัคสถาน ผ่านไปเพียง 9 วันก็เกิดเหตุเยาวชนวัย 14 ควงแบลงก์กันสังหารสาวจีน 1 ศพสนั่นโลก หวังจะได้ทัวริสต์จีนปีนี้ 5 ล้านคน...ก็พลันดูจะหรี่ลงทันที

“เมื่อเรียนผูกแล้วต้องเรียนแก้” จีนหายไปไม่เป็นไรดึงตลาดมิดเดิลอีสต์กับ “ยิว” วงศ์วานอิสราเอลมาพลางๆก่อน เพราะเป็นตลาดท่องเที่ยวที่มีอนาคต ดูจากข้อมูลปี 2562 คนบ้านเขามาทัวร์บ้านเรา 1.94 แสนคน...ประเมินรายได้อยู่ที่ 1.6 ล้านบาท ใช้เวลาต่อทริป 14.55 คืน เฉลี่ยใช้จ่ายคนละ 92,225 บาท...

ปีนี้ทำเป็นเล่นไปแค่ 10 เดือนแรกเข้ามาแล้ว 1.9 แสนคน

ทว่า...ที่ไหนได้? 3 วันให้หลังฝันสลาย เมื่อเกิดโหมดสอง “กลุ่มฮามาส” กองกำลังติดอาวุธใหญ่สุดของปาเลสไตน์จาก “ฉนวนกาซา” พังกำแพงบุกแผ่นดินยิวทั้งทางบกอากาศตั้งแต่ย่ำรุ่ง เปิดสงครามยิงกันด้วยหัวจรวดและอิสราเอลตอบโต้ด้วย “ไอเอิร์นโดม” อย่างบ้าระห่ำวันเดียวถึง 5 พันนัด

...

นับศพผู้สูญเสียวันแรกทั้ง 2 ฝ่ายไม่ต่ำกว่า 1,500 ราย มีแรงงานไทยอยู่ด้วย 21 รายบาดเจ็บ 13 ถูกจับเป็นตัวประกัน 14 จาก 30,000 คนในอิสราเอล ตัวเลขนี้ยังไม่เสถียรด้วย ผู้นำยิวประกาศจะขอ “เอาคืน” ฮามาสเลยสวนทันควันบุกฆ่าพลเรือนตรงฉนวนกาซาวันใดจะยิงหัวเชลยยิวนับร้อยคนและตัวประกันต่างชาติ

รวมถึงไทย ทีละคน...!

“ท่องเที่ยวไทย” จึงดูเหมือนแก้วถูกกระทบจนแตกร้าวถึง 2 เด้งในเวลาไล่เลี่ยกัน...กูรูผู้รู้บอกชนวนปัญหามาจากการประกาศอิสราเอลเป็นรัฐเมื่อ 75 ปีก่อน ขณะปาเลสไตน์แปะไว้กับเวสต์แบงก์กับฉนวนกาซา กระจายไปฝากจอร์แดน เลบานอน ซีเรีย คู่กรณีทั้งสองจึงกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมาทะเลาะกันบ่อยทางอากาศ

เพิ่งจะมาเปิดฉากรบ...บนภาคพื้นดินก็หนนี้

“ใครๆก็รู้ว่าอิหร่านเป็นพี่เลี้ยงปาเลสไตน์ แล้วยังมีอาหรับชาติ มุสลิมเป็นกองเชียร์ ขณะยิวได้อเมริกาแบ็กอัป มีสหราชอาณาจักรกับแคนาดาหนุนหลัง โดยอียิปต์มิตรประเทศของทุกๆฝ่ายคอยห้ามทัพให้ทุกครั้ง...แต่ครั้งนี้ไม่แน่ใจว่าจะจบเร็วหรือยืดเยื้อนานแค่ไหน?”

เมื่อเป็นเช่นนี้...ชะตาท่องเที่ยวไทยย่อมตึงเครียด เพราะสงคราม “ความวัว”...คู่รัสเซีย-ยูเครนยังไม่ทันหาย “ความควาย”...ตะวันออกกลางขึ้นมาขย่มโลก

สถานการณ์เช่นนี้ทำเอาชาวลอนดอนทาวน์และอเมริกันชนในนิวยอร์กพากันเสียงแตก “เห็นด้วย” กับยิวตอบโต้ปาเลสไตน์ แต่อีกฝ่ายโต้ตอบให้ยิวคืนดินแดนยึดครองกลับปาเลสไตน์

ไม่เพียงเท่านั้นยังบานปลายไปถึงฝรั่งเศส อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย โคลอมเบีย ปากีสถาน และอีกหลายๆประเทศกำลังขู่ฮึ่มๆชูป้ายตะเบ็งเสียงในความเห็นต่าง

“ก็ไม่รู้ว่าน้ำผึ้งหยดเดียวจะเดือดพล่านลุกลามต่อไปในโลกกว้างอย่างไร? และอนาคตประชาคมโลกจะมั่นใจในการเดินทางมากน้อยขนาดไหน?” กูรูรายเดิมตั้งข้อสังเกต

ฝ่ายองค์การท่องเที่ยวโลก “ดับเบิลยูทีโอ” หน่วยงานภายใต้ ยูเอ็นมีสำนักงานอยู่ ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน เคยพยากรณ์ล่วงหน้าตั้งแต่ปีที่แล้วถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวโลกจะยังไม่กลับคืนสู่ภาวะปกติเช่นก่อนโควิดระบาด ด้วยข้อจำกัดแต่ละภูมิภาคและคาดจะดีขึ้นในปีหน้าคือ 2024

...

ดัลเบิลยูทีโอ...บอกปีนี้แม้เศรษฐกิจโลกจะขยับ 3% ทว่าท่องเที่ยวกลับกระฉูด ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวโลกเดินทางมากขึ้นกว่า 900 ล้านคน หรือ 63% ของปี 2562 และ 3 เดือนแรกในปีนี้มีการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศแล้ว 235 ล้านคน โตเป็นสองเท่าจากไตรมาสแรกของปีก่อน

แต่...ใครก็ตอบไม่ได้หลังวันเสาร์ 7 ตุลาคม สถานการณ์นั้นจะเดินต่อไปตามที่ดับเบิลยูทีโอทำนายไว้หรือเปล่า...รู้แต่ว่าตอนนี้มี “ทัวริสต์ยิว” ส่วนหนึ่งยังตกค้างอยู่ในไทยกลับเข้าประเทศไม่ได้

โหมดนี้อดีตผู้บริหารทัวร์อินบาวน์ไทยรายหนึ่ง ให้ข้อสังเกตว่า ...แรงจูงใจให้มนุษย์ทั่วโลกออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ใหม่ ความมั่นคงปลอดภัยต่อชีวิตคือปัจจัยสำคัญสำหรับการตัดสินใจ เพราะย่อมไม่มีมนุษย์รายใดอยากแขวนชีวิตไว้กับเส้นด้ายกลางความเสี่ยงแน่นอน

“โมเดลใหญ่ที่คนทั้งโลกจดจำจนวันตาย ไม่พ้นเหตุการณ์...ไนน์วันวัน 11 กันยายน 2011 เมื่อผู้ก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงกลุ่มอัลกออิดะฮ์จี้เครื่องบินพุ่งชนตึกแฝดและเพนตากอน มีผู้เคราะห์ร้ายตายไปคราวนั้นร่วม 3 พันคน”

หลังจากนั้น...มีการล้อมคอกเต็มสนามบินทั่วโลกป้องกัน “วัวหาย” ด้วยการซีเรียสเช็กระบบความปลอดภัยในสนามบินชนิดยุงก็ไม่อาจบินผ่านได้ เช่น การเอกซเรย์ตรวจค้นกระเป๋าเดินทางเข้มข้นปลอดอาวุธหรือสิ่งเทียม น้ำดื่มและของเหลวทุกชนิด อุปกรณ์ใช้แบตเตอรี่ที่สามารถประกอบเป็นวัตถุระเบิดได้

...

ย้ำว่าวัตถุเหล่านี้...ต้องห้ามเด็ดขาด แม้กระทั่งผลแอปเปิ้ลก็ถูกปฏิเสธเพราะกลัวซ่อนของมีคม

“ผู้โดยสารผ่านเครื่องสแกนแล้วยังต้องผ่านระบบแมนนวลจากเจ้าหน้าที่ โดยให้ถอดรองเท้าถุงเท้าดูไม่มีอะไรซ่อน เข็มขัด พระห้อยคอ นาฬิกา เศษเหรียญ พวงกุญแจต้องใส่ถาดผ่านเครื่องสแกน กว่าจะขึ้นเครื่องบินได้ต้องผ่านซีเคียวริตี้เช็กมากถึง 8 ด่าน”

ไม่จบแค่นั้น...ผู้โดยสารทุกคนต้องลงไปชี้กระเป๋าเดินทางบนลานบิน ยืนยันความเป็นเจ้าของอีกครั้ง หากไร้เงาเจ้าของ...นั่นแสดงว่ามีผู้ประสงค์ร้ายกับเที่ยวบินนั้น!

นี่คือมาตรการยุ่งยากที่เกิดกับ “นักท่องเที่ยว” ในยาม “โลกวิกฤติ” จากเหตุก่อการร้าย เป็นผลให้กระแสการเดินทางชะลอตัวและงด “โปรแกรมทัวร์” สู่ประเทศสุ่มเสี่ยง หรือมีกิจกรรมล่อแหลมฐานพัวพันการขัดแย้ง

“บ้านเราก็เคยเป็นเป้าหมายจะก่อวินาศกรรมสถานทูตตอบโต้จากคู่ปฏิปักษ์มาก่อน ดีแต่ว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้กลิ่นก่อนจะเกิดระเบิดทำลาย”

...

วิกฤติหนนี้คงไม่หนีภาพเก่าๆ...และตัวแปรสำคัญที่จะตามมากระทบท่องเที่ยวไทยค่อนข้างชัวร์ ได้แก่ “ราคาน้ำมัน” เนื่องจากแดนสงครามเป็นแหล่งผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ ย่อมเป็นห่วงโซ่ถึงราคา “บริการท่องเที่ยว” ทุกแขนง พฤติกรรมนักท่องเที่ยวทุกชาติจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปชั่วขณะ

...จากที่เคยเดินทางไกลปรับเป็นลดให้ใกล้ ใช้เวลาเที่ยวแบบสั้นๆแล้วปลอดภัย ราคาค่าบริการประหยัด จนกว่าสงครามจะเลิกรามีการแลกเปลี่ยนเชลยตัวประกันเรียบร้อยแล้วถึงค่อยว่ากันใหม่

ดังนั้น...บรรยากาศ “ท่องเที่ยวไทย” ยามนี้สมควรต้องปรับตัวตามกระแสที่เกิดขึ้น นั่นคือ “ปรับแผน” เลิกหวังตลาดจีนที่คาด 5 ล้าน คนปีนี้และตลาดยิวรวมถึงตะวันออกกลางที่ใช้เป็นมวยรองชกแทนจีน

แน่นอนว่าแล้วเราก็ต้องจิ้มเอาตลาดร่วมภูมิภาคอย่างญี่ปุ่น เกาหลี นิวซีแลนด์ อินเดีย และอาเซียนขัดตาทัพเอาไว้ก่อน...กระนั้นขอว่าอย่าได้ลืม “ตลาดบ้านตัวเอง”...ไทยเที่ยวไทยก็แล้วกัน.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม