เกิดเหตุคลังน้ำมันระเบิดในภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค พื้นที่พิพาทอาเซอร์ไบจาน-อาร์เมเนีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 ศพ และบาดเจ็บเกือบ 300 ราย ขณะชาวอาร์เมเนียในพื้นที่กำลังเร่งอพยพหวั่นถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

สำนักข่าวต่างประเทศเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 รายงาน เกิดเหตุระเบิดที่คลังน้ำมันในเมืองสเตปานาเคิร์ต เมืองหลักในภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค ประเทศอาเซอร์ไบจาน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 ศพ และบาดเจ็บอีกเกือบ 300 ราย ขณะที่ชาวอาร์เมเนียมากกว่าหนึ่งหมื่นชีวิตกำลังเร่งอพยพออกจากนากอร์โน-คาราบัคมายังประเทศอาร์เมเนีย ท่ามกลางความหวาดกลัวว่าจะถูกรัฐบาลอาเซอร์ไบจานกวาดล้าง หลังกองกำลังแบ่งแยกดินแดนอาร์เมเนียในพื้นที่พิพาทนากอร์โน-คาราบัค ยอมจำนนและตกลงที่จะหยุดยิงกองทัพอาร์เซอร์ไบจาน จากนั้นได้ส่งทหารเข้ามาในพื้นที่พิพาทนี้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน

ในแถลงการณ์ของหน่วยงานท้องถิ่นของอาร์เมเนีย ระบุว่า เหตุคลังน้ำมันระเบิดเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของคืนวันจันทร์ที่ 25 ก.ย. 2566 ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 20 ศพ โดย 13 ศพเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และอีก 7 ศพเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ขณะที่จำนวนผู้บาดเจ็บอยู่ที่เกือบ 300 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และอยู่ในอาการขั้นวิกฤติ  

มีรายงานว่า เหตุระเบิดเกิดขึ้นระหว่างที่ชาวอาร์เมเนียจำนวนมากกำลังเข้าแถวรอเติมน้ำมันรถยนต์ตามปั๊มน้ำมันต่างๆ เพื่อที่จะอพยพเดินทางออกนอกพื้นที่นากอร์โน-คาราบัค และขณะนี้ ยังไม่มีรายงานถึงสาเหตุที่ทำให้คลังน้ำมันแห่งนี้เกิดระเบิดขึ้น จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ทั้งนี้ อาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนีย เกิดความระหองระแหงมาอย่างยาวนาน จากกรณีการแย่งชิงพื้นที่นากอร์โน-คาราบัค ซึ่งเป็นดินแดนในประเทศอาเซอร์ไบจาน และนานาชาติก็ให้การยอมรับว่าพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของอาเซอร์ไบจาน แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในนากอร์โน-คาราบัคเป็นชาวอาร์เมเนีย 

...

ชนวนความตึงเครียดล่าสุดปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา หลังทหารของทั้งสองประเทศเปิดฉากโจมตีกัน ก่อนจะยุติลงด้วยข้อตกลงหยุดยิง โดยมีรัสเซียเป็นคนกลางในการเจรจา อย่างไรก็ดี การที่อาเซอร์ไบจานประกาศชัยชนะในสมรภูมิล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ชาวอาร์เมเนียในพื้นที่พิพาทเกิดความกังวลเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จึงทยอยอพยพออกจากภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัคต่อเนื่อง 

ชมวิดีโอ : ที่นี่

ติดตามข่าวต่างประเทศได้ที่ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : BBCAP