รัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มตลาดและย่านการค้าในเมืองทางตะวันออกของยูเครน ช่วงกลางวันแสกๆ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 17 ราย บาดเจ็บ 35 คน

เจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 ราย รวมถึงเด็ก 1 คน และผู้บาดเจ็บอีก 35 คน หลังจากขีปนาวุธรัสเซียโจมตีตลาดในเมืองคอสติยันตินิฟกา ในภูมิภาคโดเนตสก์ ทางตะวันออกของยูเครน ถือเป็นการโจมตีที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายเดือน

นายเดนิส ชมีฮาล นายกรัฐมนตรียูเครน ระบุในเทเลแกรมว่า "กองทหารรัสเซียเป็นผู้ก่อการร้ายที่จะไม่ได้รับการอภัยและจะไม่ได้อยู่อย่างสงบ จะต้องมีผู้ได้รับโทษอย่างยุติธรรม"

การโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียมักโจมตีพื้นที่ของพลเรือนบ่อยครั้ง แต่ยอดผู้เสียชีวิตที่สูงขนาดนี้ถือว่าไม่ปกติ การโจมตีตึกอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองอูมานในเดือนเมษายน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 23 ราย รวมถึงเด็กๆ และการโจมตีที่คล้ายกันที่เมืองดนีโปร คร่าชีวิตผู้คนไป 40 ศพในเดือนมกราคม

คลิปวิดีโอการโจมตีที่ประธานาธิบดิโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนเผยแพร่ เผยให้เห็นประชาชนจำนวนมากกำลังเดินบนถนนสายหนึ่งในเขตตลาด ก่อนที่จะถูกขีปนาวุธโจมตีเมื่อบ่ายวันพุธ ส่วนคลิปวิดีโอรายการหนึ่งแสดงให้เห็นการระเบิดขนาดใหญ่กลางถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน ส่งผลให้หน้าต่างกระจกอาคารใกล้เคียงแตกเสียหาย ขณะที่ผู้คนต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด

ภาพต่อมาเผยให้เห็นผลกระทบของการระเบิด โดยมีเลือดเปื้อนบนพื้นร้านขายยา รถยนต์ที่ถูกไฟไหม้ อาคารที่ถูกทำลาย และศพที่ถูกหน่วยฉุกเฉินเคลื่อนย้ายออกไป

เซเลนสกี กล่าวใน "เอ็กซ์" ประณามการโจมตีดังกล่าวว่า "เมื่อมีคนในโลกนี้ยังคงพยายามจัดการกับทุกสิ่งที่เป็นภาษารัสเซีย นั่นหมายถึงการเมินเฉยต่อความเป็นจริงนี้ ความอหังการของปิศาจ ความชั่วร้ายที่ไร้ยางอาย ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง"

...

การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางถึงกรุงเคียฟ ที่นับเป็นการเยือนยูเครนครั้งที่สามนับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากการรุกรานเต็มรูปแบบ นายบลิงเคนมีกำหนดพบกับผู้นำยูเครน ซึ่งเขาคาดหวังว่าจะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามของยูเครนในการยึดพื้นที่รอบเมืองบักห์มุต ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองคอสติยันตินิฟกา

นอกจากนั้น สหรัฐฯ ประกาศว่าจะส่งอาวุธที่เป็นที่ถกเถียงไปยังยูเครน โดยเป็นส่วนหนึ่งของความช่วยเหลือทางทหารและมนุษยธรรมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 35,000 ล้านบาท ขณะที่รัสเซียประณามความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่จะติดอาวุธให้รถถังเอบรามส์ของสหรัฐฯ ซึ่งมีเกราะที่แข็งแกร่งพอที่จะเจาะเกราะรถถังทั่วไปได้

โดยเกราะดังกล่าวทำจากยูเรเนียมด้อยสมรรถนะ (depleted uranium) ซึ่งเป็นยูเรเนียมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ถูกทำให้สารกัมมันตภาพรังสีมีปริมาณลดลง เนื่องจากยูเรเนียมมีความหนาแน่นสูงและเป็นโลหะหนัก และอาจใช้เป็นตัวกําบังรังสีที่มาจากต้นกําเนิดรังสีอื่นๆ ได้ด้วย.

ติดตามข่าวต่างประเทศได้ที่ https://www.thairath.co.th/news/foreign