บอริส จอห์นสัน อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.แบบมีผลในทันที หลังจากได้รับรายงานคดีปาร์ตี้เกต

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 9 มิ.ย. 2566 นายบอริส จอห์นสัน ออกแถลงการณ์ประกาศลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบมีผลในทันที หลังจากเขาได้รับรายงานจากคณะกรรมการสิทธิประโยชน์ ซึ่งกำลังสืบสวนว่า เขาชี้นำรัฐสภาให้เข้าใจผิดเรื่องที่เขาจัดงานเลี้ยงที่ดาวนิงสตรีทโดยฝ่าฝืนมาตรการควบคุมโควิด-19 หรือไม่

ในแถลงการณ์ของ นายจอห์นสัน เขาระบุว่า รู้สึกงุนงงและตกใจกับการสืบสวนของคณะกรรมการสิทธิประโยชน์ และสำเนารายงานการสืบสวนที่เขาได้รับนั้นทำให้ชัดเจนว่าพวกเขาตั้งมั่นที่จะใช้กระบวนการนี้ขับไล่ตัวเขาออกจากรัฐสภา

“พวกเขายังไม่ได้แสดงหลักฐานใดๆ แม้แต่น้อยว่าผมชี้นำรัฐสภาให้เข้าใจผิดด้วยความจงใจหรือไม่ยั้งคิด” นายจอห์นสัน ระบุในแถลงการณ์ และว่าเขาประหลาดใจมากกับความไม่เที่ยงตรงและมีกลิ่นของอคติในเรื่องนี้

อนึ่ง เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายจอห์นสัน ยอมรับว่าเขาทำให้รัฐสภาเข้าใจผิดเรื่องการจัดงานเลี้ยงที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิงจริง ด้วยการรับรองว่าผู้ร่วมงานทุกคนทำตามมาตรการควบคุมโควิด ซึ่งในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น แต่ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจโกหก และยอมรับว่าการเว้นระยะห่างทางสังคมในงานเลี้ยงนั้นไม่สมบูรณ์แบบ

อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ยืนยันอีกว่า งานดังกล่าวที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2564 ซึ่งประชาชนยังคงถูกล็อกดาวน์เข้มงวด เป็นงานสำคัญ และได้รับอนุญาตให้จัดแล้ว และเขาเข้าใจว่ามีการปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโควิดตลอดทั้งงาน

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่หลังจาก นายจอห์นสัน ลาออกเมื่อช่วงค่ำวันศุกร์ เขาระบุว่า “ผมไม่ได้โกหก และผมเชื่อว่าคณะกรรมการก็รู้อยู่แก่ใจ” “พวกเขารู้ดีว่าตอนที่ผมพูดในสภาผู้แทนราษฎร ผมพูดเพราะเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่ามันเป็นความจริง และเป็นสิ่งที่ผมได้รับข้อมูลมาให้พูด เหมือนกับรัฐมนตรีคนอื่นๆ”

...

จอห์นสัน บอกอีกว่า เขารีบแก้ไขคำพูดของเขาทันทีหลังจากรู้ความจริง และสมาชิกของคณะกรรมการก็รู้เรื่องนั้น และกล่าวอีกว่า แม้แต่นายกรัฐมนตรี ริชี ซูแน็ก ที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีของเขา ก็อยู่ในอาคารเดียวกันและเชื่อแบบเดียวกันกับเขาว่า งานจัดขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ยังประณามคณะกรรมการสิทธิประโยชน์ด้วยว่า เป็นศาลเถื่อน และอ้างว่าเป้าหมายของคณะกรรมการนี้ตั้งแต่แรกคือ การเอาผิดเขาโดยไม่สนว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร

“เป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่ต้องออกจากรัฐสภา อย่างน้อยก็ตอนนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมงุนงงและตกใจมากที่ผมถูกบีบให้ออกอย่างไม่เป็นประชาธิปไตยด้วยฝีมือของคณะกรรมการที่มี ฮาร์เรียต ฮาร์แมน ส.ส.พรรคแรงงาน (ฝ่ายค้าน) เป็นประธานและบริหาร ด้วยอคติอันชั่วร้าย”.