• สภาคองเกรสสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายเพดานหนี้ครบทั้ง 2 สภาแล้ว เหลือเพียงประธานาธิบดี โจ ไบเดน ลงนาม สหรัฐฯ ก็จะรอดพ้นการผิดนัดชำระหนี้อย่างเป็นทางการ

  • กฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการเจรจาอย่างตึงเครียดนานหลายสัปดาห์ระหว่าง นายไบเดน กับ นายเควิน แมกคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

  • ทั้งสองฝ่ายต่างถกเถียงกันในหลายเรื่อง ทำให้การเจรจายืดเยื้ออยู่นาน จนเส้นตายชำระหนี้ใกล้เข้ามา พวกเขาจึงยอมถอยในบางเรื่องเพื่อกู้วิกฤติตรงหน้าก่อน

 

พ.ร.บ.ความรับผิดชอบทางการคลัง (Fiscal Responsibility Act) ซึ่งเป็นข้อตกลงประนีประนอมระหว่าง ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และ นายเควิน แมกคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสครบทั้ง 2 สภาแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

กฎหมายดังกล่าวมีขึ้นเพื่อขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ให้รัฐบาลสามารถกู้เงินเพิ่มเพื่อนำมาใช้จ่าย ถูกส่งต่อไปให้ นายไบเดน ลงนามบังคับใช้ในวันศุกร์ที่ 2 มิ.ย. เพียงไม่กี่วัน ก่อนที่จะถึงเส้นตายวันที่ 5 มิ.ย. ทำให้แดนลุงแซมรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไปได้สำเร็จ

สหรัฐฯ เริ่มใช้กลไกเพดานหนี้มาตั้งแต่ปี 2450 แต่ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา มันกลับถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองของขั้วตรงข้ามรัฐบาล เพื่อให้ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน ประธานาธิบดีไบเดน กับ นายแมกคาร์ธี เจรจากันอย่างไม่มีใครยอมใครเป็นเวลาหลายสัปดาห์ จนสุดท้ายทั้งคู่จำต้องยอมถอยในบางเรื่อง เมื่อเส้นตายชำระหนี้ใกล้เข้ามา

ไบเดน กับ แมกคาร์ธี ตกลงกันเรื่องอะไรบ้าง พวกเขาตัดสินใจยอมถอยในจุดไหน และสุดท้ายใครกันเป็นผู้ชนะในการเจรจาทำข้อตกลงครั้งนี้?

...

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ระงับเพดานหนี้ไปจนถึงปี 2568

รัฐบาลสหรัฐฯ กู้เงินมาใช้จนเต็มเพดานที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว ทำให้ต้องขยายเพดานหนี้เพิ่มเพื่อกู้เงินมาใช้จ่ายในด้านต่างๆ ทั้งเงินเดือนลูกจ้างรัฐ, ทหาร, เงินสังคมสงเคราะห์ และประกันสุขภาพ รวมถึงค่าดอกเบี้ยหนี้สาธารณะและการคืนภาษี

แต่ในข้อตกลงที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส พวกเขาไม่ได้เพิ่มขีดจำกัดเงินที่กู้ได้ แต่ระงับใช้กลไกเพดานหนี้ทั้งหมดไปเลย จนถึงเดือนมกราคม ปี 2568 ซึ่งจะทำให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินมาได้มากเท่าที่จำเป็นต้องใช้จ่ายในช่วงเวลาดังกล่าว และเมื่อการระงับใช้จบลง เพดานหนี้ใหม่จะไปอยู่ในระดับเดียวกับเงินที่สหรัฐฯ กู้มา

พวกเขายังมองขาด กำหนดจุดสิ้นสุดของมาตรการไว้หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2567 ทำให้เดโมแครตกับรีพับลิกันกลับมาต่อสู้กันเรื่องเพดานหนี้ได้อีกครั้ง โดยไม่มีเรื่องการเลือกตั้งมาข้องเกี่ยว

จำกัดและลดการใช้จ่าย

ในส่วนนี้ดูเหมือนจะวินวินกันทั้งสองฝ่าย โดยภายใต้ข้อตกลง รัฐบาลจะต้องลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ใช้ด้านการกลาโหมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ, การจัดการป่าไม้, การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และอื่นๆ ในปีงบประมาณ 2567 และจำกัดการเพิ่มรายจ่ายในส่วนดังกล่าวในปีงบประมาณ 2568 ไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1% ซึ่งในทางปฏิบัติเท่ากับเป็นการลดงบประมาณ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเร็วกว่า

ในส่วนของงบประมาณกองทัพ ข้อตกลงอนุญาตให้เพิ่มงบฯ ในปีหน้าเป็น 8.86 แสนล้านดอลลาร์ ได้ตามที่ นายไบเดน เรียกร้องในร่างกฎหมายงบประมาณปี 2567 ของเขา และเพิ่มงบฯ เป็น 8.95 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2568 ขณะที่การประกันสุขภาพทหารผ่านศึก กับมาตรการใหม่ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติเพื่อช่วยเหลือทหารผ่านศึกที่ต้องสัมผัสกับสารพิษทางอากาศระหว่างปฏิบัติหน้าที่นอกประเทศ ก็จะได้รับงบประมาณตามที่ไบเดนต้องการ

แม้งบประมาณส่วนอื่นที่ไม่ใช่ด้านกลาโหมและไม่เกี่ยวกับทหารผ่านศึกในปี 2567 จะลดลงไปอยู่ระดับเดียวกับปี 2565 แต่ทำเนียบขาว ระบุว่า พวกเขาจะมีข้อตกลงนอกรอบกับรีพับลิกัน รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับงบประมาณของกรมสรรพากร (IRS) ซึ่งจะทำให้งบประมาณที่แท้จริงเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับระดับของปีนี้

เดิมทีรีพับลิกันเรียกร้องให้รัฐบาลจำกัดการใช้จ่ายเป็นเวลา 10 ปี แต่ในตัวกฎหมายจริงๆ กลับจำกัดเพียง 2 ปีแรกเท่านั้น แล้วจากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นกฎหมายเป้ารายจ่ายซึ่งไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย โดยทำเนียบขาวคาดว่าข้อตกลงนี้จะลดยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ลงราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ ตลอดช่วงทศวรรษข้างหน้า

เควิน แมกคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
เควิน แมกคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

...

โยกงบประมาณบางส่วนจากกรมสรรพากร

เมื่อปีก่อนรัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎหมายปรับลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของนายไบเดน จัดงบประมาณ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กรมสรรพากรใช้ในการจ้างพนักงานหลายพันตำแหน่ง และอัปเดตเทคโนโลยีเพื่อต่อสู้กับการหลีกเลี่ยงภาษี และทำให้แน่ใจว่าบริษัทต่างๆ และคนร่ำรวยจ่ายภาษีตามที่ควรจะเป็น

แต่ในข้อตกลงเพดานหนี้จะเพิ่มข้อกำหนดการโยกงบประมาณจำนวน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ จากงบประมาณรวม 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ออกมาเพื่อใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ใช่ส่วนด้านกลาโหม โดยจะหักทันที 1.38 พันล้านดอลลาร์

การลดงบประมาณจะส่งผลกระทบต่อความพยายามของกรมสรรพากรในการปราบปรามการเลี่ยงภาษีของกลุ่มคนร่ำรวยอย่างแน่นอน ซึ่งถือเป็นชัยชนะทางการเมืองของพรรครีพับลิกันที่ออกมาโจมตีการเพิ่มงบให้ IRS ของรัฐบาลไบเดนอย่างหนัก อ้างว่าเป็นการจ้างกองทัพเพื่อตรวจสอบชาวอเมริกัน แต่นักวิเคราะห์บางคนก็ชมไบเดนที่เจรจาจนเสียงบไปเพียง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แทนที่จะเสียทั้งหมดตามความตั้งใจของรีพับลิกัน

เพิ่มความเข้มงวดการรับคูปองอาหาร

ภายใต้กฎหมายใหม่ เกณฑ์อายุของประชาชนที่จำเป็นต้องทำงานหรือฝึกฝนการทำงานไม่ต่ำกว่า 80 ชั่วโมงต่อเดือน เพื่อขอรับคูปองอาหารจากโครงการ Supplemental Nutrition Assistance Program หรือ SNAP จะถูกเพิ่มจาก 49 ปี เป็น 54 ปี ตามข้อเรียกร้องของรีพับลิกัน

เงื่อนไขด้านการทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนกับคูปองอาหารจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ แต่โดยทั่วไปจะกำหนดให้ผู้ขอต้องมีการลงทะเบียนการทำงาน หรือมีส่วนร่วมในโครงการฝึกและจ้างงานของ SNAP หรือ โปรแกรมการทำงาน หรือฝึกอบรมที่สำนักงาน SNAP ประจำรัฐจัดสรรให้ โดยที่ไม่ลาออกโดยสมัครใจ หรือมีชั่วโมงการทำงานต่ำกว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยไม่มีเหตุผลดีพอ

ในอดีตข้อกำหนดด้านการทำงานจะมีผลต่อผู้มีอายุ 18-49 ปีเท่านั้น โดยขีดจำกัดอายุจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอด 3 ปีข้างหน้าเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 แต่มีข้อยกเว้นสำหรับทหารผ่านศึก, คนไร้บ้าน และผู้เคยเป็นเด็กในครอบครัวอุปถัมภ์

...

แหล่งก๊าซหินดินดาน ‘มาร์เซลลัส’ ในรัฐเวสท์เวอร์จิเนีย
แหล่งก๊าซหินดินดาน ‘มาร์เซลลัส’ ในรัฐเวสท์เวอร์จิเนีย

ออกใบอนุญาตโครงการด้านพลังงานง่ายขึ้น

ในข้อตกลงของไบเดนกับแมกคาร์ธีมีมาตรการใหม่ที่จะทำให้โครงการพลังงานได้รับการอนุมัติเร็วขึ้น ด้วยการสร้างหน่วยงานดูแลเรื่องการทบทวนและข้อบังคับโดยเฉพาะ ซึ่งจะตรวจสอบเสร็จสิ้นภายในเวลา 1-2 ปี เนื่องจากเดโมแครตกับรีพับลิกันเห็นตรงกันว่า กระบวนการในปัจจุบันใช้เวลานานเกินไป

นอกจากนั้น ข้อตกลงยังรวมถึงการเร่งสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติ Mountain Valley Pipeline มูลค่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะนำพาก๊าซจากแหล่งก๊าซหินดินดาน ‘มาร์เซลลัส’ (Marcellus) ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย เดินทาง 300 ไมล์ไปยังรัฐเวอร์จิเนีย

เรื่องนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญของ นายโจ แมนชิน ที่ 3 ส.ว.รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย จากพรรคเดโมแครต ผู้ผลักดันเรื่องนี้มานาน แต่นักสิ่งแวดล้อม, นักเคลื่อนไหวสิทธิพลเรือน และสมาชิกพรรครีพับลิกันมากมาย พยายามต่อต้านโครงการนี้มาหลายปี

...

คืนงบสู้โควิดที่ไม่ได้ใช้

เนื่องจากสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสถานะ “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข” ของโรคโควิด-19 แล้วในเดือนพฤษภาคม รีพับลิกันจึงเรียกร้องให้รัฐบาลคืนเงินที่ไบเดนจัดเอาไว้ในกฎหมายบรรเทาทุกข์โควิด (Covid relief bill) ที่ไม่ได้ใช้กลับมา ซึ่งสำนักงานงบประมาณแห่งสภาคองเกรสประเมินว่า เงินดังกล่าวมีประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ฝ่ายเดโมแครตหลายคนพยายามโต้แย้งว่า งบประมาณนี้เหลือไว้เป็นทุนสำหรับโครงการสำคัญเกี่ยวกับโควิด 2 โครงการ ได้แก่ โปรเจกต์ NextGen ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาวัคซีนโควิดรุ่นถัดไป รวมทั้งวิธีการรักษาใหม่ๆ และโครงการริเริ่มที่จะฉีดวัคซีนฟรีให้แก่ผู้ที่ไม่ได้ทำประกัน

อย่างไรก็ตาม ไบเดน ยอมตกลงตามที่รีพับลิกันเรียกร้อง โดยเงินที่ถูกดึงคืนมาบางส่วนจะถูกนำไปใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ใช่ด้านกลาโหม

เพนตากอน ตึกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
เพนตากอน ตึกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ

สิ่งที่ไม่อยู่ในข้อตกลง

รีพับลิกันต้องการให้ไบเดนเพิกถอนแผนยกเลิกหนี้ กยศ. แต่สุดท้ายทำได้แค่ระงับเอาไว้หลังจากสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ และไปตัดสินชะตากันด้วยคำตัดสินของศาลสูงสุด ขณะที่ฝ่ายเดโมแครตพยายามเพิ่มการขึ้นภาษีรอบใหม่สำหรับชาวอเมริกันที่ร่ำรวยเข้ามาในข้อตกลง แต่ก็ไม่สำเร็จ

รีพับลิกันยังต้องการยกเลิกข้อกำหนดในกฎหมายลดเงินเฟ้อ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แตะต้อง โดยนักวิเคราะห์มองว่าดีสำหรับทั้งสองฝ่าย เพราะแสดงให้เห็นว่า ทั้งประธานาธิบดีไบเดนกับนายแมกคาร์ธี ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของประเทศก่อนเรื่องการเมืองระหว่าง 2 พรรค

แล้วสุดท้ายใครชนะ?

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แถลงในหลังจากวุฒิสภาผ่านกฎหมายเพดานหนี้แล้ว โดยยอมรับว่า ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันไม่ได้พอใจกับผลการเจรจาที่ออกมาอย่างเต็มที่นัก

“ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ต้องการในการเจรจานี้ แต่อย่าเข้าใจผิด ข้อตกลงร่วม 2 พรรคนี้ คือชัยชนะครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจของเรา และของชาวอเมริกัน”.





ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : bbcnytimestheguardian