(ภาพจาก twitter / @crazybob)

บ๊อบ ลี ผู้ก่อตั้งบริษัท Cash App ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันโอนเงินออนไลน์ ถูกแทงเสียชีวิตที่ซานฟรานซิสโก โดยเจ้าหน้าที่ยังจับกุมคนร้ายไม่ได้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สำนักงานตำรวจนครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุแทงกันขึ้นใกล้ย่านใจกลางเมือง เมื่อวันอังคารที่ 4 เม.ย. 2566 เวลาประมาณ 2.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ และพบนายบ๊อบ ลี ผู้ก่อตั้งบริษัท Cash App นอนหมดสติอยู่บนพื้นโดยมีแผลถูกแทง 2 แห่งบริเวณหน้าอก

เจ้าหน้าที่จึงพยายามช่วยชีวิตและรีบนำตัวชายวัย 43 ปี รายนี้ส่งโรงพยาบาล ซานฟรานซิสโก เจเนอรัล แต่เขาเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะที่ตำรวจกำลังเร่งสืบสวนเพื่อระบุตัวและจับกุมผู้ต้องสงสัย

ต่อมาในวันพุธ นายริค ลี บิดาของนายลี ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กยืนยันการเสียชีวิตของลูกชาย “ผมเพิ่งเสียเพื่อนที่ดีที่สุด บ๊อบ ลี ลูกชายของผมเสียชีวิตบนถนนในซานฟรานซิสโกเมื่อเช้ามืดวันอังคาร” ขณะที่นายทิม โอลิเวอร์ ลี น้องชายของนายลี ก็โพสต์ข้อความชื่นชมผู้เป็นพี่ และบอกว่าการเสียเขาไปเหมือนกับสูญเสียส่วนหนึ่งในชีวิต

ทั้งนี้ Cash App เป็นแอปพลิเคชันบริการโอนเงินออนไลน์บนสมาร์ทโฟน เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2556 และมีผู้ใช้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 7 ล้านรายต่อวันในปี 2560 และไปถึง 30 ล้านรายในปี 2563 ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายลี ซึ่งก่อนเสียชีวิตเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทคริปโต ‘MobileCoin’ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ความรุนแรงในซานฟรานซิสโกที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีระดับท็อปของโลก ซึ่งออกมาร่วมแสดงความเสียใจต่อการจากไปของนายลีด้วย ก็ระบุว่า เหตุอาชญากรรมความรุนแรงในซานฟรานซิสโกนั้นน่ากลัวมาก และต่อให้คนร้ายถูกจับกุม พวกเขาก็มักได้รับการปล่อยตัวทันที

...

ข้อมูลจากสถาบัน Hoover Institution ในปี 2564 แสดงให้เห็นว่าในแต่ละปี ชาวเมืองซานฟรานซิสโกมีโอกาสถึง 1 ต่อ 16 ที่จะตกเป็นเหยื่อของการชิงทรัพย์หรืออาชญากรรมความรุนแรง ทำให้ซานฟรานซิสโกกลายเป็นสถานที่ที่อันตรายกว่าเมือง 98% ที่มีอยู่ในสหรัฐฯ

เหตุฆ่าคนตายกลายเป็นปัญหาใหญ่ของซานฟรานซิสโกนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 โดยระหว่างปี 2564-2565 เกิดคดีฆ่าคนตายขึ้นในเมือง 56 ครั้ง ขณะที่ในปีนี้เกิดเหตุไปแล้ว 12 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร่วม 20%

ที่มา : bbc