ต้องยอมรับว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์ของชาติตะวันตกอยู่ในเกณฑ์ดีมาตลอด มาจากเครือข่ายของบรรดาสำนักข่าวต่างประเทศ ที่ครอบคลุมไปทั่วโลก
กรณีนี้ไม่ได้หมายความว่า สื่อเหล่านี้เป็นสื่อตาชั่งเอียง แต่เป็นฝีมือของทีมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลตะวันตก ที่ประสานงาน ส่งสารและจุดประเด็นให้กับสื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างสงครามรุกรานอิรักของสหรัฐฯเมื่อปี 2546 ก็มีการดำเนินการก่อนหน้านั้น มาเป็นเวลาหลายปี
ค่อยๆสร้างความรับรู้แก่สังคมว่า อิรักคือผู้ร้าย ครอบครองอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง ใช้ความโหดเหี้ยมกับประชาชน และเป็นแหล่งซ่องสุมผู้ก่อการร้าย พร้อมๆไปกับการประกาศย้ำตลอดเวลาในเวทีโลก ว่าทำไมอเมริกาต้องดำเนินการ ซึ่งผลลัพธ์คือ คนมีความรับรู้ว่า สหรัฐฯเริ่มปฏิบัติการปลดปล่อยชาวอิรักจากกฎเหล็กของซัดดัม ฮุสเซน และน้อยมากที่จะมองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้คือการ “รุกราน” ที่ไร้ ความชอบธรรม
หากกลับมามอง “รัสเซีย” ในเรื่องนี้ คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ในการปรับภาพลักษณ์ใหม่ การบุกยูเครนเมื่อปีที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แต่อย่างน้อยการเจรจาหารือแผนสันติภาพกับรัฐบาลจีน ก็ถือเป็นสัญญาณดี ที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมได้ว่า รัสเซียไม่ได้ปิดประตูตายในเรื่องการยุติความขัดแย้ง
สัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียได้แสดงจุดยืนตอกย้ำว่า 1.รัสเซียไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นศัตรูของตะวันตก 2.รัสเซียหวังพึ่งตะวันตกในการตระหนักถึงความเปล่าประโยชน์ในการเผชิญหน้า 3.รัสเซียมุ่งหวังในการรับประกันทางความมั่นคงแก่ประเทศต่างๆอย่างเสมอภาค ภายใต้หลักการดีมาก็ดีกลับ 4.รัสเซียมองว่าเขตแดนเก่าของโซเวียตควรเป็นภูมิภาคแห่งสันติภาพ เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน และสร้างความเจริญรุ่งเรือง
...
5.การกระชับความสัมพันธ์ให้มากขึ้น และประสานงานร่วมกันกับ “จีน” และ “อินเดีย” ถือเป็นเรื่องสำคัญของรัสเซีย 6.รัฐบาลรัสเซียมองว่าทิศทางที่สหรัฐฯกำลังมุ่งไป คือต้นเหตุที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงและสันติภาพ ระหว่างประเทศ และ 7.รัสเซียจะให้ความสำคัญต่อการขจัดร่องรอยความเป็นใหญ่ของสหรัฐฯ
เป็นเรื่องน่าสนใจที่ขั้วตรงข้ามตะวันตกในอดีต เริ่มจะเอาจริงเอาจังมากขึ้นในเรื่องการปรับภาพลักษณ์ และอยากรู้เหมือนกันว่า วันที่เป็นมืออาชีพแล้วจะเป็นเช่นไร หรือจะน่ากลัวขนาดไหน!?
ตุ๊ ปากเกร็ด