เฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์หลายคนจะเรียกร้องให้หยุดก่อน เพราะกังวลจะกระทบกับภาคธนาคาร ซึ่งปั่นป่วนอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในวันพุธที่ 22 มี.ค. 2566 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศว่าพวกเขาตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานอีก 0.25% เป็น 4.75% ถึง 5% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ตามความคาดหมายของนักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ แม้จะมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน และทำให้ภาคธนาคารปั่นป่วนก็ตาม
ภารกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการควบคุมกับอัตราเงินเฟ้อยากขึ้นไปอีกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังการล่มสลายของธนาคารซิลิคอนวัลเลย์ และธนาคารซิกเนเจอร์ ของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลแผ่ไปยังธนาคารอื่นๆ ทั่วโลก ส่งผลให้เฟดต้องพยายามรักษาสมดุลไม่ให้เกิดวิกฤติการเงิน, อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง หรือตลาดแรงงานตึงตัว
ในแถลงการณ์หลังการประชุมของเฟด พวกเขายอมรับว่า ความปั่นป่วนในตลาดการเงินที่ผ่านมา ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ แต่พวกเขายังมั่นใจในระบบโดยรวมว่า ระบบธนาคารของสหรัฐฯ ยังแข็งแรงและฟื้นตัวได้เร็ว
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้อาจส่งผลให้ ภาวะสินเชื่อสำหรับครัวเรือนและธุรกิจตึงตัวขึ้น ถ่วงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ, การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ แต่ขอบเขตของผลกระทบจากเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน” แถลงการณ์ของเฟดระบุ พร้อมย้ำด้วยว่า พวกเขายังคงระมัดระวังความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก
ทั้งนี้ ความปั่นป่วนในภาคธนาคารช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เพียงทำให้เกิดความกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไปจนทำให้เศรษฐกิจถดถอย แต่ยังอาจส่งผลให้ธนาคารล่มสลายมากขึ้นด้วย จนนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังหลายคนออกมาเรียกร้องให้เฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยไว้ก่อน
...
แต่การขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นครั้งที่ 9 ติดต่อกันส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังให้ความสำคัญเรื่องการฟื้นฟูเสถียรภาพทางด้านราคา (price stability) เป็นอันดับแรก
ที่มา : cnn