เมืองฉงชิ่งนำร่องอนุญาตให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการ สามารถไปทำงานได้ตามปกติ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังยกเลิกนโยบายควบคุมโควิดที่เคยใช้อย่างเข้มงวด
เทศบาลนครฉงชิ่ง ออกแถลงการณ์ทางเว็บไซต์ของตัวเอง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า พนักงานที่ทำงานให้กับภาครัฐทุกระดับ ที่ติดเชื้อโควิด-19 และไม่มีอาการป่วย หรือมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อย สามารถที่จะไปทำงานได้ตามปกติแล้ว โดยให้มีการป้องกันส่วนบุคคลตามความจำเป็นต่อสภาพร่างกายและความจำเป็นของงาน นอกจากนี้ทางเทศบาลยังระบุด้วยว่าหน่วยงานต่างๆ ของรัฐจะไม่มีการตรวจหาเชื้อประจำวันให้แก่พนักงาน ทั้งตำรวจ ครูโรงเรียนรัฐ และคนงานอื่นๆ แล้ว โดยจะเปลี่ยนโฟกัสจากการป้องกันการติดเชื้อไปเป็นการป้องกันสุขภาพเพื่อไม่ให้มีอาการของโรครุนแรงแทน

ท่าทีที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือในนครฉงชิ่ง เมืองขนาดใหญ่ของจีนที่มีประชากรมากถึง 32 ล้านคน ได้สร้างความกังวลให้แก่พลเมืองในพื้นที่ เนื่องจากยังคงกังวลเรื่องการระบาดหนัก หากปล่อยให้ผู้ป่วยมาทำงานร่วมกับคนปกติได้ โดยมีการโพสต์ข้อความไม่เห็นด้วยกับภาครัฐในสื่อโซเชียลเว่ยป๋อจำนวนมาก
...
โดย นครฉงชิ่ง ศูนย์รวมของอุตสาหกรรมและการเกษตรกรรม เพิ่งเป็นจุดฮอตสปอตของการระบาดของโควิดเมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้พลเมืองกว่า 1 ล้านคน ถูกสั่งห้ามออกนอกเมือง ยกเว้นมีความจำเป็นเร่งด่วน และมีการปูพรมตรวจหาเชื้ออย่างเข้มข้นหลายรอบ จนทำให้ชาวบ้านไม่พอใจออกมาเคลื่อนไหวประท้วงภาครัฐที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของพวกเขา

นอกจากนครฉงชิ่งแล้วยังมีรายงานว่ามณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งหนึ่งของประเทศและมีประชากรมากกว่า 60 ล้านคน ได้อนุญาตให้ผู้ติดโควิดที่มีอาการเล็กน้อยทำงานได้หากจำเป็นเช่นกัน โดยต้องมีการป้องกันตนเองตามความเหมาะสม มีผลตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้จีนใช้นโยบายควบคุมโควิดอย่างเข้มงวดมานานถึง 3 ปี โดยเฉพาะการล็อกดาวน์ทั้งชุมชนเพื่อควบคุมให้ผู้ติดเชื้อโควิดเป็นศูนย์ แต่เมื่อไม่นานมานี้ทางการจีนได้กลับลำ ยกเลิกนโยบายดังกล่าว หลังจากที่มีการประท้วงในหลายเมืองใหญ่ ท่ามกลางสัญญาณที่ชี้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยทางสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้ประเมินจากผลการศึกษาของนักวิจัยชาวฮ่องกงที่มีการเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า อีกไม่นานยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในจีนแผ่นดินใหญ่น่าจะพุ่งสูงถึงกว่า 1 ล้านคน หลังจากที่ยกเลิกนโยบายคุมเข้มนี้แล้ว.
ที่มา :ซีเอ็นเอ็น