ยังไม่หายสะพรึงจากการล่มสลายของเหรียญสเตเบิลคอยน์ “LUNA” เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีก็เจอแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ หวั่นเกิดโดมิโนเอฟเฟกต์ลามไปทั้งวงการ เมื่อแพลตฟอร์มเทรดคริปโตใหญ่อันดับสองของโลกอย่าง “FTX” ล้มละลาย!! หลังถูกแฉงบการเงินผิดปกติจนนักลงทุนแห่ถอนเงินออกมากกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในเวลา 72 ชั่วโมง ทำให้ขาดสภาพคล่องอย่างหนักถึงขั้นวิกฤติ

ถือเป็นการปิดตำนานโรบินฮูดโลกคริปโต “แซม แบงก์แมน-ฟรีด” (SBF) ชนิดครึกโครมที่สุด โดยซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ความมั่งคั่งส่วนตัวของซีอีโอ “FTX” หายวับไปทีเดียว 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เปลี่ยนสถานะจากมหาเศรษฐีคริปโตกลายเป็นยาจกทันที โดยช่วงพีกสุดในชีวิตตั้งแต่ก่อตั้ง “FTX” เมื่อปี 2019 พี่แซมเคยมีสินทรัพย์ในครอบครองกว่า 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และได้รับการจัดอันดับจากฟอร์บส์ให้เป็นมหาเศรษฐีคริปโตรวยที่สุดเป็นอันดับสองของโลกตอนอายุ 30 ปี พ่วงด้วยตำแหน่ง “นักบุญมหาเศรษฐีคริปโต” เพราะช่วงที่โลกคริปโตระส่ำจากการล่มสลายของ “LUNA” ก็ได้พี่แซมคนนี้โดดเข้าไปอุ้มหลายบริษัทให้รอดพ้นจากปากเหวจนได้ฉายา “อัศวินขี่ม้าขาวแห่งวงการคริปโต”

จากมหาเศรษฐีใจบุญที่เคยประกาศจะบริจาคความมั่งคั่ง ทั้งหมด กลับกลายเป็นคนลวงโลกภายในชั่วข้ามคืน หลังหนุ่มแซมถูกแฉจากเว็บไซต์ข่าวคริปโต “CoinDesk” ว่า เขาเอาเหรียญของตัวเองคือ “FTT” ไปเป็นหลักค้ำประกัน (Collateral) บริษัทในเครือของตัวเองคือ “Alameda Research” สร้างความแตกตื่นให้วงการ ยิ่งเจ้าพ่อคริปโตเบอร์หนึ่งของโลก “ฉางเผิง จ้าว” หรือ “CZ” แห่งไบแนนซ์ ออกมาประกาศจะเทขายเหรียญ “FTT” ที่ถืออยู่ทั้งหมด ยิ่งฉุดให้มูลค่าเหรียญร่วงแรงถึง 72% และนักลงทุนแห่ถอนเงินออกจาก “FTX” กันโกลาหล

...

แม้จะเคยแตกคอกันมาก่อน แต่ “ไบแนนซ์” ก็ส่งสัญญาณจะเข้าช่วยเหลือ “FTX” ให้รอดวิกฤติครั้งนี้ กระนั้น เพียงหนึ่งวันหลังเข้าทำ “Due Diligence” ตรวจสอบวิเคราะห์กิจการเพื่อประเมินมูลค่าก่อนเข้าระดมทุนแล้วพบว่ามีความไม่ชอบมาพากลเยอะ (ได้กลิ่นตุๆจากสินทรัพย์ราว 40% ของ “Alameda Research” เป็นเหรียญ “FTT” มีมูลค่าอยู่ที่ 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่ามูลค่าเหรียญในตลาดทั้งหมดราว 160% ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดของ “Alameda Research” อยู่ที่ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีหนี้สิน 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) “CZ” ใจเด็ดประกาศล้มแผนเข้าอุ้มกิจการ “FTX” ทันที โดยให้เหตุผลว่า “เราหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือลูกค้า FTX เพื่อให้มีสภาพคล่อง แต่ปัญหาทั้งหมดอยู่นอกเหนือความสามารถของเราแล้ว”

งานนี้นอกจากจะฉุดบิทคอยน์ร่วงหลุด 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ “FTX” สั่งระงับการถอนเงินของลูกค้าและการสมัครสมาชิกใหม่ ยังมีข่าวซ้ำเติมในวันเดียวกันว่า ซีอีโอตัวแสบได้แอบโอนเงินลูกค้าราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก “FTX” ไปให้ “Alameda Research” กู้เพื่อลงทุน

เมื่อถึงทางตันของ “FTX” จึงไม่มีทางไหนจะดีกว่ายื่นล้มละลาย!! พร้อมการประกาศลาออกจากตำแหน่งของซีอีโอ โดยทุกอย่างเกิดขึ้นแบบม้วนเดียวจบภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์

“CZ” ออกโรงเตือนเพื่อนรุ่นน้องผ่านทวิตเตอร์ว่า อย่าเอาเหรียญที่ตัวเองสร้างไปเป็นหลักค้ำประกันและอย่ากู้เงินคริปโตมาทำธุรกิจเอ็กซ์เชนจ์ให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะเมื่อไหร่ที่เหรียญราคาร่วงหนักก็จะลากเอาธุรกิจหลักดิ่งเหวด้วย

ช่วงพีกสุดเมื่อปีที่แล้ว “FTX” มีฐานลูกค้าถึง 5 ล้านราย และมีธุรกรรมการซื้อขายมากกว่า 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหยื่อที่
เสียหายจากการล้มละลายของ “FTX” มีตั้งแต่สถาบันการเงินชื่อดังอย่าง Temasek และ Softbank นักลงทุนรายใหญ่ ไปจนถึง
นักลงทุนรายย่อยจากทั่วโลก แม้แต่มหาเศรษฐีและคนดังๆก็ตกเป็นเหยื่อความโลภเช่นกัน รวมถึงคู่รักคู่ร้างที่เคยเป็นพรีเซนเตอร์ให้ “FTX” เช่น “ทอม เบรดี้” ควอเตอร์แบ็กแชมป์ 7 สมัย ดาวเด่นในศึกอเมริกันฟุตบอล NFL โดนไป 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และซุปเปอร์โมเดลค่าตัวแพง “จีเซล บุนด์เชน” เสียหายไป 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ตัวบริษัท “FTX” ที่แซมร่วมก่อตั้งกับเพื่อนนักศึกษา MIT เมื่อปี 2019 ถูกประเมินมูลค่าไว้สูงลิ่วกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ.

มิสแซฟไฟร์