ขอเล่าเรื่องนายหูจิ่นเทา ผู้นำจีนรุ่นที่ 4 ต่อจากเมื่อวานครับ นายหูเรียนปริญญาทางวิศวกรรมชลประทาน 6 ปี และช่วยงานวิจัยการพัฒนาเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำให้คณะต่ออีก 3 ปี จนถึงปลาย ค.ศ.1968 จึงออกไปรับงานที่มณฑลกานซู พวกที่เรียนหนังสือเก่งมักพบรักครั้งแรกระหว่างเรียนและแต่งงานกับผู้หญิงคนเดียว ทั้งชีวิตมีความรักและมีสตรีเพียงคนเดียว เช่นเจียงเจ๋อหมิน (ผู้นำรุ่นที่ 3) รักและแต่งงานกับหวังเหย่ผิง จูหรงจีรักและแต่งงานกับหลาวอัน หลี่เผิงรักและแต่งงานกับจูหลิน หูจิ่นเทา (ผู้นำรุ่น 4) รักและแต่งงานกับหลิวหย่งซิง
ผู้นำระดับสูงของจีนคัดจากคนเรียนเก่ง มีความเป็นศิลปิน นายเจียงชอบเขียนกลอน เล่นเปียโน เล่นเพลงงิ้ว ใช้ภาษาต่างประเทศได้ทั้งอังกฤษ รัสเซีย เยอรมัน และโรมาเนีย ส่วนนายหูชอบอ่านนิยาย ดูหนัง ดูละคร เต้นรำแทบทุกวันหยุด สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้คนเหล่านี้เดินทางมาได้ไกลก็คือทัศนะการเคารพและให้เกียรติผู้มีความรู้ของคณะแมวมอง
เติ้งเสี่ยวผิงและคณะผู้นำอาวุโสกำหนดสเปกของคนที่จะขึ้นมาเป็นคณะผู้บริหารประเทศว่าจะต้องมี 4 พร้อม ซึ่งก็คือมีความเป็นนักปฏิวัติ มีอายุน้อย มีความรู้ และมีความเชี่ยวชาญหรือมีความชำนาญเฉพาะวิชาชีพ นายเติ้งและคณะผู้อาวุโสกำหนดว่าคณะบุคคลที่จะอยู่ในข่ายได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็นผู้นำจีนรุ่นใหม่จะต้องมีอายุต่ำกว่า 55 ปี ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ที่สำคัญน้อยกว่าตำแหน่งผู้นำนั้น ต้องมีอายุลดหลั่นตามกันไป
ด้านการศึกษา เติ้งกำหนดให้บุคคลที่จะรับตำแหน่งผู้นำระดับกระทรวงหรือมณฑลต้องมีความรู้ไม่ต่ำกว่าระดับอุดมศึกษา หากเป็นระดับกรม คณะผู้นำกรมอย่างน้อยครึ่งหนึ่งต้องจบระดับอุดมศึกษา และในแต่ละกรมจะต้องมีคณะผู้ทำหน้าที่บริหารงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่น้อยกว่า 2 ใน 3
...
แต่ละสถานศึกษาและแต่ละหน่วยงาน จะต้องมีแมวมองเสนอชื่อของบุคคลเข้าบรรจุในบัญชีรายชื่อของบุคลากรที่จะได้รับการบ่มเพาะเป็นผู้นำรุ่นใหม่ของพรรคในระดับต่างๆ ทุกคนจะต้องใช้เวลายาวนานในการสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง ผลงานจะเป็นคะแนนสะสมสำหรับการจะได้รับการเลื่อนขั้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้นไป ผู้นำจีนในแต่ละระดับจึงถูกขุดเอาไปใส่ตะแกรงร่อน ร่อนแล้วร่อนอีก ร่อนไปจนกว่าจะเห็นแววความเป็นผู้นำ
เมื่อมีแววแล้ว ก็จะได้รับการส่งเสริมให้ไปเข้าโรงเรียนพรรคเพื่อศึกษาเข้มข้นด้านทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์ เพื่อให้มีความสัมพันธ์กับเพื่อนนักเรียนและอาจารย์ผู้สอน เมื่อจบหลักสูตรของโรงเรียนแล้ว ก่อนจะแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่เดิมก็จะได้มีโอกาสเข้าพบกับเลขาธิการใหญ่พรรคซึ่งนั่งอยู่ที่กรุงปักกิ่ง
นายหูผ่านจุดการทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า จน ค.ศ.1982 ซึ่งตอนนั้น อายุของนายหูยังไม่ครบ 40 ปี มีตำแหน่งแค่รองอธิบดี ก็ได้รับการคัดเลือกให้ไปเป็นกรรมการสำรองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 12 นอกจากนั้น ยังได้รับการคัดเลือกเข้าไปอยู่ในกลุ่มแกนนำในระดับพรรคและระดับองค์กรเยาวชนระดับชาติ ขั้นตอนต่อไป เลขาธิการใหญ่พรรคก็จะนำกรรมการและกรรมการสำรองของคณะกรรมการกลางชุดใหม่ที่เป็นคนหนุ่มสาวเข้าพบคณะผู้อาวุโสของประเทศเพื่อให้คนหนุ่มสาวผู้จะสืบทอดการนำได้พบปะกับผู้นำประเทศรุ่นนักปฏิวัติ
ในวันเจอกันครั้งแรก ผู้นำอาวุโสจะนั่งบนเก้าอี้เรียงแถวอย่างเรียบร้อย ส่วนพวกว่าที่ผู้นำรุ่นใหม่จะต้องนั่งเป็นแถวอยู่ด้านหลังแถวนั่งของผู้นำอาวุโส เมื่อถูกขานชื่อ พวกว่าที่ผู้นำรุ่นใหม่ก็จะลุกขึ้น และเดินออกไปยืนกลางห้องโถง อยู่ต่อหน้าแถวผู้นำอาวุโส ทุกคนจะต้องเล่าเรื่องของตนเอง เล่าถึงการเรียนและผลงานที่ผ่านมา พวกผู้นำอาวุโสก็จะพินิจพิจารณาบุคลิกท่าทางของว่าที่ผู้นำรุ่นใหม่นี้
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรติดตามต่อพรุ่งนี้ครับ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com