สมใจท่านผู้นำเขาล่ะ ได้ปูพรมแดงสู่การครองอำนาจไปชั่วชีวิต เมื่อ “สีจิ้นผิง” วัย 69 ปี ได้รับเลือกจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ให้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีจีนและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สมัยที่สามอย่างเป็นทางการ ต่ออายุยาวๆจาก 10 ปี เป็น 15 ปี
ถ้าไม่นับเรื่องผูกขาดการสืบทอดอำนาจจนเกินงาม โดยอ้างว่ายังมีภาระหน้าที่ต้องทำเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน ประชาชนคนจีนเกินครึ่งค่อนประเทศต่างก็ชื่นชอบในนโยบายเศรษฐกิจจีนยุคใหม่ของ “ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง” ที่มุ่งเน้น “การสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” กระจายความมั่งคั่งให้ประชาชนทุกคนไปพร้อมๆกัน ไม่ปล่อยให้ความรวยกระจุกตัวอยู่ในคนกลุ่มน้อย เหล่าเศรษฐีและนักธุรกิจยังถูกกระตุกให้ต้องตอบแทนสังคมมากขึ้น เพื่อช่วยกันยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชาติ ขยายฐานชนชั้นกลางให้มากขึ้น อันเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่คือ ขจัดความยากจนให้หมดจากประเทศ
แม้จะไม่ถูกใจเหล่ามหาเศรษฐีและนักธุรกิจใหญ่ๆที่ถูกเตะสกัดขาให้เพลาๆลงบ้างในเรื่องกินรวบผูกขาดความรวยไว้ในมือ แต่ถ้าขจัดความจนได้จริงโดยไม่มีวาระซ่อนเร้นคงได้รับการแซ่ซ้องไปทั้งโลก เพราะทุกวันนี้ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความแตกแยกให้สังคมทั่วทุกมุมโลก ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ “ความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่น” ที่ถูกส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานแบบไม่มีวันสิ้นสุด เรียกว่าถ้าเกิดมาในครอบครัวจนๆก็หมดสิทธิ์จะลืมตาอ้าปากได้ ต้องทนอยู่อย่างสิ้นหวัง หรือไม่ก็ย้ายประเทศซะ เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆพลิกชีวิต
ในสุนทรพจน์ใหญ่ครั้งล่าสุดกับการแถลงผลงานในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความชอบธรรมสู่การต่ออายุผู้นำสูงสุดของจีนเป็นสมัยที่สาม “ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง” มุ่งไปที่การรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงกับเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนการสานต่อนโยบายต่างๆที่ประกาศไว้ โดยย้ำว่าจะเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
...
กระนั้น นโยบายแข็งกร้าวหลายอย่างที่เคยประกาศไว้อย่างดุดันก่อนหน้านี้ กลับไม่ถูกพูดถึงในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น การประกาศกร้าวว่า “บ้านมีไว้อยู่ ไม่ได้มีไว้ปั่น” เพื่อสกัดความร้อนแรงจากการเก็งกำไรของภาคธุรกิจอสังหาฯ หรือน้ำเสียง ดุดันที่ขู่ไต้หวันว่า “ปัญหาไต้หวันไม่สามารถปล่อยไว้โดยไม่มีบทสรุป” เช่นเดียวกับที่เคยประกาศชัดว่าสหรัฐฯเป็นภัยคุกคามของจีน ในสุนทรพจน์ครั้งนี้ก็ไม่มีการกล่าวถึงศัตรูตัวเอ้ อย่างเปิดเผย
อ่านสัญญาณบ่งชี้ได้เป็นนัยว่า อนาคตจีนภายใต้ยุคที่สามของ “สีจิ้นผิง” จะลดดีกรีความตึงเครียดลงและหันมาเน้นการปลุกระดมความสามัคคีของคนในชาติ เพื่อร่วมกัน “ต่อสู้ฟันฝ่า” อุปสรรคขวากหนามและความท้าทายใหม่ๆจากรอบทิศทาง โดยเป้าใหญ่ที่เน้นที่สุดคือ จีนต้องการพึ่งพาตัวเองให้ได้ในเรื่องเทคโนโลยี โดยพร้อมทุ่มสรรพกำลังเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ให้ก้าวล้ำทันสมัย ไม่น่าแปลกใจที่ทีมงานชุดใหม่ของประธานาธิบดีจีนจะเต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรการบินระดับหัวกะทิ
จับตาให้ดีว่า ภายใน 5 ปีนับจากนี้ จีนจะผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีของโลกสำเร็จหรือไม่ แต่ที่แน่ๆอเมริกาคงขวางจนถึงที่สุด!!
มิสแซฟไฟร์