อินโดนีเซียเตรียมทำลายสนามฟุตบอล ที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลอินโดนีเซีย หลังแฟนบอลทะเลาะวิวาทกันจนนำไปสู่การเหยียบกันตาย ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 131 ศพ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังจากการประชุมกับ จานนี อินฟานติโน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ทั้งสองได้ตกลงร่วมกันในการจัดทีมชุดพิเศษแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อินโดนีเซียเตรียมเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ในปี 2023 โดยผู้นำของอินโดนีเซียเห็นด้วยกับประธานฟีฟ่าว่า วิธีการบริหารกีฬาในอินโดนีเซียต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
นายวิโดโดกล่าวว่า "สนามกันจูรูฮันในมาลังจะถูกทำลาย และสร้างใหม่ตามมาตรฐานของฟีฟ่า เราเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงฟุตบอลในอินโดนีเซีย หลักการทุกอย่างในการเตรียมต้องเป็นไปตามมาตรฐานของฟีฟ่า"
ด้านประธานฟีฟ่า กล่าวว่า มีความจำเป็นที่แฟนๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องได้รับสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย "นี่คือประเทศแห่งฟุตบอล ประเทศที่ฟุตบอลเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนกว่า 100 ล้านคน เมื่อพวกเขาชมการแข่งขัน พวกเขาจะต้องปลอดภัย"
ทั้งนี้ เหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม เกิดขึ้นในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลลีกอินโดนีเซีย ที่สนามคันจูรูฮัน ในเมืองมาลัง จังหวัดชวาตะวันออก ระหว่างทีมอารีมา เอฟซี และเปอร์เซบายา สุราบายา เกมจบลงด้วยชัยชนะของทีมเยือน 3-2 ประตู ก่อนที่แฟนบอลของทีมอารีมา เจ้าถิ่นที่อยู่ฝั่งอัฒจันทร์ด้านตะวันออกของสนามได้เดินไปหาเรื่องแฟนบอลทีมเยือน และก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับแฟนบอลทีมเยือน
เหตุการณ์เกิดความรุนแรงขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่จะทำการยิงแก๊สน้ำตาเพื่อระงับเหตุ ซึ่งผิดหลักการของการควบคุมฝูงชนของฟีฟ่า และทำให้แฟนบอลตกใจ พยายามหนีออกจากสนามจนนำไปสู่การเหยียบกันตาย และมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 131 ศพ
...
ประชาชน 6 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้จัดงาน อาจถูกดำเนินคดีในข้อหาทางอาญาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในสนามกีฬาที่เลวร้ายที่สุดในโลก โดยทั้งหมดจะถูกตั้งข้อหาประมาทเลินเล่อซึ่งก่อให้เกิดการเสียชีวิต ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี
การสอบสวนที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่าเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นเนื่องจากตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่อัฒจันทร์ ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมฝูงชนที่ฟีฟ่าสั่งห้าม
รายงานยังพบปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ อีกหลายประการ รวมถึงสนามกีฬาที่เต็มเกินความจุและประตูทางออกที่ถูกล็อก รวมถึงการผลักดันจากเจ้าหน้าที่ของลีกให้จัดการแข่งขันในตอนกลางคืนเพื่อต้องการให้เรตติ้งโทรทัศน์สูงขึ้น โดยมีรายงานที่ระบุว่า มีการขายตั๋วเข้าชมการแข่งขันที่ 42,000 ใบ แม้ว่าสนามกีฬาจะบรรจุคนได้เพียง 38,000 คน
ผู้สอบสวนยังเรียกร้องให้คณะกรรมการสมาคมฟุตบอลชาวอินโดนีเซียลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ.
ที่มา รอยเตอร์