- ยอดติดเชื้อโควิด-19 ในยุโรปเพิ่มขึ้นถึง 8 เปอร์เซ็นต์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความกังวลให้หน่วยงานสาธารณสุขหลายประเทศรวมถึงสหรัฐฯ ที่ต้องเร่งเตรียมพร้อมรับการระบาดในช่วงฤดูหนาวที่จะมาถึง
- สภาพอากาศที่หนาวเย็นลงในยุโรปถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากประชาชนต่างหลบลมหนาวเข้าไปอยู่ในตัวอาคารหรือพื้นที่ปิดร่วมกันมากขึ้น ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากไม่ได้สวมหน้ากากป้องกันอีกต่อไป
- คาดว่าหน่วยงานสาธารณสุขของสหรัฐฯ ก็คงเห็นสัญญาณบางอย่าง จึงเร่งอนุมัติใช้วัคซีนรุ่นอัปเดตใหม่ให้แก่เด็กอายุ 5 ปีขึ้นไปแล้ว เพื่อหวังจะสกัดการระบาดก่อนหน้าหนาว
แม้ว่าข่าวคราวเกี่ยวกับโควิด-19 จะซาไปในช่วงหลัง เนื่องจากแต่ละประเทศต่างเดินหน้าอยู่ร่วมกับโควิดให้ได้ แต่เชื้อไวรัสมรณะตัวนี้ยังไม่ได้หายไปไหน ล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศแถบยุโรปกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยุโรป พบว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน โดยมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นถึงราว 1.5 ล้านรายในหนึ่งสัปดาห์ และมีอัตราผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นด้วย
...
ในฝรั่งเศส อัตราผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึง 31 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป ขณะที่อัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรวมทั้งอัตราการเสียชีวิตก็เพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ได้มีการระบุตัวเลขที่แน่ชัด
ส่วนในประเทศอังกฤษ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ก่อนสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาพบว่า ประชากรราว 1 ใน 50 หรือราว 1,105,400 คน ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจาก 1 ใน 65 คน หรือราว 857,400 คนจากสัปดาห์ก่อนหน้า นอกจากนี้จากข้อมูลของรัฐบาลยังชี้ว่าอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 เฉลี่ยในรอบ 7 วันของอังกฤษ ยังอยู่ที่ 65 ศพ ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในรอบกว่า 1 เดือนอีกด้วย
โดยสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงในยุโรปถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากประชาชนต่างหลบลมหนาวเข้าไปอยู่ในตัวอาคารหรือพื้นที่ปิดร่วมกันมากขึ้น ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากไม่ได้สวมหน้ากากป้องกันอีกต่อไป และทุกครั้งที่การระบาดในยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ก็เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังสหรัฐฯว่าอาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกันในไม่ช้า
แม้ว่าปัจจุบันสหรัฐอเมริกา จะยังคงมีจำนวนผู้ป่วยโควิดที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล รวมทั้งอัตราการเสียชีวิตยังอยู่ในช่วงขาลงก็ตาม แต่หน่วยงานสาธารณสุขของสหรัฐฯก็คงเห็นสัญญาณบางอย่าง จึงเร่งอนุมัติใช้วัคซีนรุ่นอัปเดตใหม่ ที่จะสามารถป้องกันเชื้อไวรัสตัวดั้งเดิม และยังสามารถป้องกันเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 ได้ ให้แก่เด็กอายุ 5 ปีขึ้นไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อหวังจะสกัดการระบาดก่อนหน้าหนาวนี้
ขณะที่เมื่อเดือนก่อนทางการสหรัฐฯ ได้เริ่มกระจายวัคซีนรุ่นใหม่นี้ให้แก่เด็กชาวอเมริกันวัย 12 ปีขึ้นไปแล้ว โดยวัคซีนโควิด-19 สูตรใหม่นี้จะมีทั้งวัคซีนจากไฟเซอร์และโมเดอร์นา โดยวัคซีนไฟเซอร์จะเหมาะกับเด็กอายุ 5-11 ปี ขณะที่วัคซีนโมเดอร์นาจะเหมาะกับเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป
...
นายแพทย์ ปีเตอร์ ชิน หง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียระบุว่า เราได้เคยได้เห็นรูปแบบการระบาดของมันมาก่อนแล้ว และเมื่อฤดูหนาวมาถึง จำนวนผู้ติดเชื้อก็จะเพิ่มขึ้น และยิ่งในปีนี้ที่มาตรการป้องกันต่างๆ ถูกยกเลิกไปแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ดังนั้นทุกฝ่ายยังประมาทไม่ได้ และต้องจับตารูปแบบที่เกิดขึ้นในยุโรป ไล่มายังนิวยอร์ก และเวสต์โคสต์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาให้ดี ในเวลานี้ก็เริ่มมีสัญญาณเตือนบางอย่างเกิดขึ้นบ้างแล้ว โดยจากข้อมูลของหน่วยงานตรวจสอบน้ำเสียของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ พบว่า ปริมาณไวรัสในน้ำทิ้งเริ่มเพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาคของประเทศ ทั้งพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่ในเขตมิดเวสต์ด้วย
นายแพทย์ ชิน หง ยังระบุด้วยว่า ทางหนึ่งในการป้องกันไม่ให้การระบาดวิกฤติหนักก็คือการรับวัคซีน และวัคซีนกระตุ้นเพื่อลดความรุนแรงของอาการป่วย รวมทั้งลดโอกาสในการเสียชีวิตลง แต่ในสหรัฐฯเองก็ยังคงมีกระแสความเข้าใจปิดและสับสนเกี่ยวกับข้อมูลของวัคซีนอยู่ไม่น้อย ทำให้ยังมีประชาชนบางส่วนที่ไม่ยอมรับวัคซีน รวมทั้งไม่ค่อยกล้าเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพราะไม่แน่ใจว่าใครจะสามารถรับวัคซีนกระตุ้นได้บ้าง
...
ผลสำรวจจาก มูลนิธิ ไคเซอร์ แฟมิลี พบว่าชาวสหรัฐฯ ราวครึ่งประเทศแทบจะไม่เคยได้ยิน หรือรู้เรื่องเกี่ยวกับวัคซีนรุ่นใหม่ที่ผลิตออกมารับมือกับเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 เลย และไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาต้องเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นอัปเดตล่าสุดนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งผลสำรวจนี้ทำให้นายแพทย์ ชิน หง ถึงกับคาดไม่ถึง และย้ำให้ชาวอเมริกันรีบออกไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อปกป้องตัวเองเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องมีการเดินทางไปยังประเทศในแถบยุโรปเป็นประจำ ที่อาจจะนำเชื้อกลับมาด้วยโดยไม่รู้ตัว.
ผู้เขียน : อาจุมมาโอปอล
ที่มา : เอบีซีนิวส์ , เอพี