สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ยืนยันว่า พบผู้เสียชีวิตรายล่าสุดจากการติดเชื้อไวรัสอีโบลา และมีความเชื่อมโยงกับการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ระหว่างปี 2018-2020

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (INRB) ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก หรือ ดีอาร์คองโก ยืนยันการตรวจพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลารายใหม่ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ทำให้จำนวนผู้ป่วยยืนยันผลรวมอยู่ที่ 3 ราย นับตั้งแต่ดีอาร์คองโกประกาศการระบาดของโรคอีโบลา ครั้งที่ 14 เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

แถลงการณ์จากห้องปฏิบัติการจีโนมเชื้อโรคของ INRB ระบุว่า ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่ากรณีดังกล่าวมีส่วนเชื่อมโยงกับการระบาดที่จังหวัดคิวูและอิทูรี ทางภาคเหนือของประเทศ ระหว่างปี 2018-2020 ที่มีผู้เสียชีวิตหลายพันราย ทั้งนี้ ยังมีการพบการระบาดเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 6 ราย ขณะที่การระบาดครั้งล่าสุด เกิดขึ้นในอีกพื้นที่หนึ่งของประเทศ และมีการประกาศสิ้นสุดการระบาดเมื่อเดือน ก.ค. หลังพบผู้เสียชีวิต 5 ราย

ทั้งนี้ เชื้ออีโบลา บางครั้งสามารถพบได้ในตาของมนุษย์ ระบบประสาทส่วนกลาง และของเหลวในร่างกายของผู้ป่วยที่รอดชีวิต และแสดงอาการได้อีกในอีกหลายปีต่อมา ส่วนเคสผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็นหญิงวัย 46 ปี ในเมืองเบนิ จังหวัดนอร์ธคิวู เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการโรคอื่น เมื่อวันที่ 23 ก.ค. แต่แสดงอาการที่สอดคล้องกับโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในเวลาต่อมา และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 ส.ค.

รายงานระบุว่า ผลการวิจัยเบื้องต้นชี้ว่าเคสนี้น่าจะเป็นการระบาดครั้งใหม่ของการระบาดที่จังหวัดคิวูและอิทูรีในปี 2018-2020 ซึ่งเริ่มต้นจากการแพร่เชื้อไวรัสอีโบลาจากผู้รอดชีวิตที่ยังคงติดเชื้อ หรือผู้รอดชีวิตที่มีอาการกำเริบ และยังคงมีการสอบสวนเพื่อระบุแหล่งที่มา

...

แถลงการณ์ระบุว่า มีการระบุรายชื่อผู้ใกล้ชิดหญิงรายดังกล่าวอย่างน้อย 131 ราย รวมถึงเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ 60 คน ในจำนวนนี้ 59 คนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีโบลาแล้ว

องค์การอนามัยโลก กำลังตรวจสอบการเสียชีวิตของหญิงวัย 46 ปี ว่าเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสอีโบลาหรือไม่

นับตั้งแต่มีการค้นพบเชื้อไวรัสอีโบลา เมื่อปี 1976 ดีอาร์คองโกเผชิญกับการแพร่ระบาดมาแล้ว 14 ครั้ง ขณะที่ทวีปแอฟริกาเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคบ่อยครั้งที่สุด โดยการระบาดเมื่อปี 2018-2020 ทางภาคตะวันออกของประเทศ ถือเป็นการระบาดครั้งรุนแรงที่สุดของดีอาร์คองโก และรุนแรงมากเป็นอันดับสองเท่าที่มีการบันทึกข้อมูล โดยมีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,500 ราย.

ที่มา: รอยเตอร์