จากกรณีเหตุสลดผู้ลักลอบเข้าเมืองจำนวนมากถูกพบเสียชีวิตอยู่ภายในตู้รถบรรทุกขนสินค้าจอดทิ้งไว้ชานเมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัสโดยมีสาเหตุจากอากาศร้อน ไม่มีน้ำและเครื่องปรับอากาศนั้น สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ทางการสหรัฐฯได้ตั้งข้อหาผู้สงสัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้แล้ว 2 คน เป็นคนสัญชาติเม็กซิโกคือ นายฮวน ฟรานซิสโก บิลเบา และนายฮวน คลอดิโอ แมนเดซ ในข้อหาพกพาอาวุธระหว่างการพำนักอยู่ในสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมาย ส่วนผู้ต้องสงสัยคนที่ 3 เป็นชาวอเมริกันไม่ขอเปิดเผยชื่อ ที่ทำหน้าที่คนขับรถบรรทุก และอยู่ระหว่างการควบคุมภายในโรงพยาบาล

การตรวจสอบเพิ่มเติมของชุดสืบสวนระบุว่าชาวต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่เสียชีวิตอยู่ภายในตู้ขนสินค้าท่ามกลางอากาศร้อนกว่า 39.4 องศาเซลเซียสนั้น เพิ่มเป็น 51 คน แบ่งเป็นชาย 39 คน หญิง 12 คน ในจำนวนนี้ตรวจสอบพบว่า เป็นชาวเม็กซิกัน 27 คน กัวเตมาลา 3 คน และฮอนดูรัส 4 คน ที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม

ด้านสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ระบุด้วยว่า รถบรรทุกดังกล่าวอาจขน คนชาวต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองมากกว่า 100 คน เหตุการณ์ครั้งนี้ดูเหมือนว่า ขบวนการลักลอบเข้าเมืองได้ไปรับชาวต่างด้าวกลุ่มดังกล่าวและอยู่ระหว่างขนย้ายเพื่อนำไปส่งสถานที่ที่รับจ้างทำงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุหลังคนที่หลบหนีออกจากรถ ได้เข้าขอความช่วยจากชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า ชาวต่างด้าวที่อยู่ในรถทั้งหมด ถูกพรมด้วยสารเคมีกลิ่นฉุน เพื่อป้องกันการถูกตรวจจับโดยสุนัขดมกลิ่น

สำหรับชะตากรรมของแรงงานที่ได้รับความช่วยเหลือนั้น สำนักงานซีบีพีชี้แจงกับสำนักข่าวรอยเตอร์ด้วยว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้รอดชีวิตจะได้รับสิทธิพำนักชั่วคราวในสหรัฐฯ เพื่อเปิดทางให้ยื่นเรื่องขอลี้ภัยหรือขอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งรอยเตอร์ระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาผู้รอดชีวิตจากกระบวนการลักลอบขนมนุษย์บางส่วนเคยถูกหน่วยงานยูเอสมาร์แชล (ตำรวจศาล) รับไว้ในความดูแลเพื่อใช้เป็นพยาน ดำเนินคดีผู้กระทำผิด

...

วันเดียวกัน นางเอริกา เกบารา โรซาสผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐฯ กล่าวว่า โศกนาฏกรรมในเมืองซานอันโตนิโอเป็นตัวอย่างที่น่าเศร้าของความล้มเหลวของรัฐต่างๆทั่วอเมริกาในการปกป้องผู้อพยพและผู้ขอลี้ภัย เป็นเรื่องสะเทือนใจที่สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน และจะเกิดขึ้นต่อไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการย้ายถิ่นของสหรัฐฯและประเทศเพื่อนบ้านอย่างทั่วถึง.