กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย กลับมาทวงแชมป์ “เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก” ประจำปี 2565 ตามรายงานจากหน่วยงานวิเคราะห์ เศรษฐกิจ Economist Intelligence Unit (EIU) ของ “ดิ อีโคโนมิสต์” นิตยสารชื่อดังระดับโลก หลังจากถูกโค่นแชมป์เมื่อปีที่แล้ว

ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ก่อน ปรากฏว่า ใน 10 อันดับแรกเป็นเมืองในยุโรปเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งกรุงเวียนนาครองบัลลังก์เมืองที่น่าอยู่ที่สุดด้วยคะแนนเฉลี่ยรวม 99.1 จาก 100 คะแนน หลังจากเคยครองตำแหน่งอันน่าภาคภูมิใจนี้เมื่อปี 2561 และ 2562 ก่อนถูกโอ๊คแลนด์ ของนิวซีแลนด์ ชิงตำแหน่งไปเมื่อก่อน ยังถือเป็นชัยชนะของกรุงเวียนนาครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปี ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ กรุงโคเปนเฮเกน ของเดนมาร์ก โดยมีนครซูริก ของสวิตเซอร์แลนด์ และ คาลการี ของแคนาดา ครองที่ 3 ร่วม ตามมาด้วย แวนคูเวอร์ เมืองท่าสวยงามของแคนาดา อดีตแชมป์เก่า เมืองเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ นครแฟรงก์เฟิร์ต ของเยอรมนี เมืองโตรอนโต ของแคนาดา กรุงอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์ โดยมีนครโอซากา ของญี่ปุ่น หนึ่งเดียวในเอเชียรั้งอันดับ 10 ร่วมกับ เมลเบิร์น ของออสเตรเลีย ที่เคยครองตำแหน่งเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกเป็นเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2554 ก่อนเสียแชมป์ให้กรุงเวียนนาในปี 2561

ทั้งนี้ EIU ได้ประเมินข้อมูลในแง่มุมต่างๆ ในการจัดอันดับมากกว่า 30 ปัจจัย จาก 5 หมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพทางการเมือง สภาพสังคมและเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม การเข้า ถึงบริการสาธารณสุข การศึกษาและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงปัจจัยความไม่สงบทางสังคม การก่อการร้าย และความขัดแย้งใน 172 เมืองจากทุกทวีปทั่วโลก กระนั้น EIU ยังเตือนว่า แม้ว่าการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ดูเหมือนจะคลี่คลาย แต่ก็ยังต้องระวังภัยคุกคามชนิดอื่นที่กระทบความเป็นอยู่ ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดหนีไม่พ้นการบุกโจมตียูเครนของรัสเซียเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะที่รายงานครั้งนี้ไม่มีคะแนนความน่าอยู่สำหรับกรุงเคียฟ ของยูเครน ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการสู้รบ ขณะเดียวกันกรุงมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซียก็มีคะแนนลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการคว่ำบาตร

...

สำหรับเมืองน่าอยู่น้อยที่สุดได้แก่ กรุงดามัสกัส ของซีเรีย ดินแดนอารยธรรมเก่าแก่ที่เคยสวยงามแต่ต้องย่อยยับจากสงครามกลางเมือง ถือเป็นตัวอย่างของความพินาศจากความขัดแย้งให้เมืองอื่นดูไว้เป็นบทเรียน.

อมรดา พงศ์อุทัย