- ผู้บัญชาการระดับสูงของรัสเซียเปิดเผยว่า มีแผนจะเชื่อมเส้นทางจากภาคตะวันออกของยูเครน เพื่อเปิดทางไปสู่ดินแดน ทรานส์นิสเตรียที่พวกเขาครอบครองในมอลโดวาทางตะวันตก
- ขณะเดียวกัน เกิดระเบิดขึ้นหลายครั้งในทรานส์นิสเตรียตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งยูเครนกล่าวหาว่า เป็นความพยายามสร้างสถานการณ์ของรัสเซียเพื่อดึงดินแดนนี้เข้าสู่สงครามด้วย
- อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า รัสเซียไม่น่าเหลือกำลังมากพอบุกเข้าสู่ทรานส์นิสเตรีย หลังจากยึดภาคตะวันออกยูเครนแล้ว หรือต่อให้เข้าไปได้ พวกเขาก็อาจไม่ได้รับการต้อนรับมากนัก
ในขณะที่สงครามในยูเครนกำลังเข้าสู่เดือนที่ 3 ผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพรัสเซียก็ออกมาพูดเรื่องที่สร้างความกังวลยิ่งขึ้นว่า มอสโกมีเป้าหมายจะสร้างเส้นทางผ่านภาคใต้ของยูเครน ไปยังแคว้นทรานส์นิสเตรีย ดินแดนแยกตัวทางตะวันออกของประเทศมอลโดวา ซึ่งถูกปกครองโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนฝักฝ่ายรัสเซีย
คำพูดของผู้บัญชาการรายนี้เกิดขึ้นท่ามกลางรายงานเหตุระเบิดซึ่งไม่อาจอธิบายสาเหตุได้หลายครั้งในทรานส์นิสเตรีย ซึ่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกล่าวหาว่า เป็นผู้แทรกซึมจากยูเครน ขณะที่รัฐบาลเคียฟกล่าวโทษว่าเป็นแผนการยั่วยุของรัสเซีย เพื่อสร้างข้ออ้างในการส่งทหารเข้าไป
รัสเซียยังอ้างว่า ประชากรผู้พูดภาษารัสเซียในทรานส์นิสเตรียกำลังถูกกดขี่ เป็นข้ออ้างเดียวกับที่พวกเขาใช้เพื่อยกทัพบุกดอนบาส ของยูเครน ทำให้ทางการมอลโดวาต้องรีบออกมาปฏิเสธทันที
จริงอยู่ที่มอลโดวามีเหตุผลให้กังวลว่า ความขัดแย้งภายในประเทศของพวกเขากำลังจะถูกดึงเข้าสู่สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนไปด้วย แต่คำถามสำคัญคือ มอสโกจะสามารถยกทัพเข้าสู่ทรานส์นิสเตรียได้จริงหรือไม่ นักวิเคราะห์หลายคนไม่เชื่อว่าจะทำได้ หรือต่อให้มันเกิดขึ้นจริง กองทัพรัสเซียก็อาจไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีนักจากชาวเมือง
...
ทรานส์นิสเตรีย ดินแดนแยกตัวในมอลโดวา
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 2534 ทำให้เกิดดินแดนพิพาทขึ้นมากมายในทวีปยุโรป รวมถึงดินแดนแคบๆ แต่ยาวกว่า 1,300 ไมล์ ตามแนวชายแดนมอลโดวาเชื่อมกับยูเครน ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ทรานส์นิสเตรีย
ดินแดนบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำนีสเตอร์แห่งนี้ เป็นที่ตั้งค่ายทหารของกองทัพรัสเซียในช่วงปีสุดท้ายของสงครามเย็น พวกเขาประกาศแยกตัวจากมอลโดวา และตั้งตัวเองเป็นสาธารณรัฐโซเวียตในปี 2533 เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับโซเวียตเอาไว้ สวนทางกับมอลโดวาที่ต้องการเป็นรัฐอิสระหรือรวมเข้ากับโรมาเนีย
หลังมอลโดวาแยกตัวเป็นอิสระในปีต่อมา รัสเซียก็รีบส่งทหารภายใต้ชื่อกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาในทรานส์นิสเตรียทันที เพื่อสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่นั่น ทำให้เกิดสงครามภายในขึ้นและจบลงในปี 2535 โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะ ทรานส์นิสเตรียไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ รวมถึงรัสเซีย ว่าเป็นประเทศ ส่วนมอลโดวาก็ถือว่าทรานส์นิสเตรีย เป็นดินแดนแยกตัวโดยพฤตินัย แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทรานส์นิสเตรียมีบทบาทเป็นที่ประจำการของทหารรัสเซียหลายพันนาย โดยปัจจุบันมีทหารรัสเซียอยู่ราว 1,500 นาย พวกเขามีธง, รัฐธรรมนูญ, ธนาคารกลาง รวมทั้งมีวันฉลองอิสรภาพของตัวเอง มีเมืองหลวงชื่อ ติราสปอล อันประกอบด้วยถนนใหญ่หลายสาย และรูปปั้นขนาดใหญ่ของ วลาดิเมียร์ เลนิน อดีตผู้นำโซเวียตที่จัตุรัสกลางเมือง
ทรานส์นิสเตรียมีประชากรราว 500,000 คน เป็นชนพื้นเมืองชาวมอลโดวา, รัสเซีย และยูเครนอาศัยอยู่รวมกัน มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและเลือกตั้งส่วนภูมิภาคเป็นของตัวเอง ในขณะที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยผลผลิตทางอุตสาหกรรมเป็นหลัก และพึ่งพาการอุดหนุนจากรัสเซียอย่างมาก กลุ่มบริษัทที่เรียกกันว่า เชริฟฟ์ (Sheriff) มีอำนาจแทบล้นฟ้า เป็นเจ้าของโรงงาน, ห้างสรรพสินค้า, และปั๊มแก๊สมากมาย
ระเบิดปริศนาที่ทรานส์นิสเตรีย
เมื่อวันจันทร์ที่ 25 เม.ย. เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้งในกรุงติราสปอล เมืองหลวงของทรานส์นิสเตรีย ใกล้กับอาคารกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ สร้างความเสียหายแก่อาคารบ้านเรือนโดยรอบ แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ จากนั้นช่วงเช้าวันต่อมา ก็เกิดระเบิดขึ้นที่ศูนย์วิทยุและโทรทัศน์ทรานส์นิสเตรีย ทำให้หอกระจายคลื่นวิทยุ 2 ต้นได้รับความเสียหาย
ฝ่ายยูเครนออกมากล่าวหารัสเซียทันทีว่านี่เป็นความพยายามของรัสเซียเพื่อสร้างสถานการณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้ปฏิบัติการทางทหาร พวกเขายังโทษรัสเซียว่ายิงขีปนาวุธร่อน ทำลายสะพานข้ามแม่น้ำนีสเตอร์ ซึ่งเชื่อมเมืองโอเดสซา ทางตะวันตกเฉียงใต้เข้ากับชายแดนมอลโดวา เพื่อตัดขาดภูมิภาคทั้งสองแห่ง
ด้าน นางไมอา ซานดู ประธานาธิบดีมอลโดวา ออกมาประณามการโจมตีภายในทรานส์นิสเตรีย ระบุว่าเป็นการยั่วยุเพื่อดึงประเทศให้เข้าสู่การกระทำที่เป็นภัยต่อความสงบสุข ตามหลังเหตุความไม่สงบมากมายก่อนจะมาถึงสัปดาห์นี้ รวมถึงเหตุขู่วางระเบิดหลายครั้งที่โรงเรียนและศูนย์การแพทย์ต่างๆ ซึ่งนางซานดูกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของกลุ่มกระหายสงครามที่ต้องการเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค
...
ไฟสงครามอาจลามเข้ามอลโดวา
ความคิดที่ว่ารัสเซียกำลังหาทางสร้างทางเชื่อมทางภูมิศาสตร์ไปยังทรานส์นิสเตรียเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 90 แล้ว เพื่อขยายอิทธิพลในยุโรปตะวันตก ความกังวลปะทุรุนแรงขึ้นหลังจาก มอสโกผนวกรวมไครเมียเมื่อปี 2557 ซึ่งเปิดทางให้พวกเขาโจมตียูเครนได้จากทั้งตอนใต้และทางตะวันออกจากภูมิภาคดอนบาสที่กลุ่มกบฏฝักฝ่ายรัสเซียยึดครองอยู่
พันตรี รุสตัม มินเนคาเยฟ รักษาการผู้บัญชาการเขตทหารกลางของรัสเซียก็ออกมายืนยันความคิดนี้เมื่อ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า ประเทศของเขามีเป้าหมายสร้างเส้นทางบกเชื่อมระหว่างภูมิภาคดอนบาสทางตะวันออกของยูเครนกับไครเมีย และการยึดครองภาคใต้ของยูเครน จะทำให้กองทัพรัสเซียสามารถเข้าถึงทรานส์นิสเตรีย ที่ซึ่งประชากรผู้พูดภาษารัสเซียกำลังถูกกดขี่
แม้ว่ารัสเซียจะเพิ่งออกมายอมรับเอาตอนนี้ว่าหมายตาดินแดนทรานส์นิสเตรียด้วย แต่ในความเป็นจริงพวกเขาอาจจะวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว โดยในช่วงสัปดาห์แรกของการรุกรานยูเครน มีคลิปวิดีโอถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ แสดงให้เห็นปูตินกับนายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ผู้นำเบลารุส ยืนอยู่ใกล้กับแผนที่ขนาดใหญ่ซึ่งระบุว่า ทรานส์นิสเตรียเป็นหนึ่งในจุดที่อาจตกเป็นเป้าหมายด้วย ก่อนที่ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ของเบลารุสจะออกมาแก้ตัวว่า แผนที่ดังกล่าวไม่ถูกต้อง
นอกจากนั้นคำกล่าวที่ว่า ผู้พูดภาษารัสเซียกำลังถูกละเมิด เป็นประโยคเดียวกับที่วลาดิเมียร์ ปูติน ใช้สร้างความชอบธรรมในการบุกเข้าสู่แคว้นลูฮานสก์และโดเนตสก์ทางตะวันออกของยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้กระทรวงต่างประเทศของมอลโดวาต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาของมอสโก และเรียกตัวเอกอัครราชทูตรัสเซียเข้าพบเพื่อแสดงความกังวลทันที
...
มีโอกาสแค่ไหนที่รัสเซียจะยกทัพเข้าทรานส์นิสเตรีย?
ตอนนี้กองทัพรัสเซียกำลังมุ่งความพยายามเพื่อยึดการควบคุมภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครนให้ได้โดยสมบูรณ์ หลังประสบความล้มเหลวในการบุกยึดกรุงเคียฟจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก
สภาพดังกล่าวทำให้นายไมเคิล คอฟแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซียจากองค์กรวิจัยไม่แสวงกำไร CNA ในเมืองอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ไม่เชื่อว่ากองทัพรัสเซียจะมีขีดความสามารถเพียงพอในการบุกยึดภาคใต้ของยูเครนยาวไปจนถึงฝั่งตะวันตกได้อีกแล้ว เพราะพวกเขาน่าจะใช้กำลังทั้งหมดในการบุกยึดดอนบาส
นายมิไฮ ป๊อปซอย สมาชิกรัฐสภามอลโดวาก็มีความเห็นไปในทางเดียวกัน และว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลข่าวกรองที่บ่งชี้ว่า กองทัพรัสเซียจะเคลื่อนไปยังทิศทางมุ่งสู่ทรานส์นิสเตรียเลย
แต่ต่อให้กองทัพรัสเซียเดินทางเข้าสู่ทรานส์นิสเตรียได้จริง พวกเขาก็อาจไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเนื่องจากจุดยืนของทรานส์นิสเตรียเรื่องการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ดูจะเอนเอียงไปทางสนับสนุนสันติภาพ พวกเขาไม่ออกมาประณามหรือสนับสนุนรัสเซียอย่างโจ่งแจ้ง และรับชาวยูเครนที่ต้องพลัดถิ่นเพราะสงครามเข้ามาอยู่ด้วยมากกว่า 27,000 คน
นายนิคู โปเปสคู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศมอลโดวา บอกกับสื่อเมื่อวันอังคารว่า จากการประเมินสถานการณ์ในทรานส์นิสเตรียของพวกเขา มีคนน้อยมากที่จะยอมแลกสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขากับการกลายเป็นส่วนหนึ่งในเขตสงคราม แต่เขาก็ไม่อาจทำนายได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต และมอลโดวาจะเฝ้าระวังภัยคุกคามทั้งหมดต่อไป
ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี
ที่มา : BBC, CNN, washingtonpost
...