ช็อกแฟนๆสโมสรฟุตบอลเชลซีทั้งโลก เมื่อ “เสี่ยหมี” โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีน้ำมันชาวรัสเซียเชื้อสายอิสราเอล ผู้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ “ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย” ทนแรงบีบคั้นการเมืองไม่ไหว ประกาศขายทีมฟุตบอล “สิงโตน้ำเงินคราม” อย่างเป็นทางการแล้ว ปิดฉากตำนานอภิมหาเสี่ยผู้ฟื้นชีพให้เชลซีกลับมาผงาดอีกครั้ง จนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ครองแชมป์มากที่สุดถึง 21 ใบ หลังเข้าเทกโอเวอร์ในปี 2003 ด้วยสนนราคา 140 ล้านปอนด์ งานนี้ “เสี่ยหมี” ประกาศนำรายได้ทั้งหมดจากการขายทีมฟุตบอล ซึ่งคาดว่าอยู่ที่ 3,000 ล้านปอนด์ ไปช่วยเหลือเหยื่อสงครามในยูเครน
“ผมตัดสินใจขายสโมสร ซึ่งผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อทุกคนที่นั่น การขายสโมสรจะเป็นไปตามกระบวนการที่กำหนด สิ่งนี้ไม่เคยเกี่ยวกับธุรกิจเงินทอง แต่เกี่ยวกับความหลงใหลในเกม และหลงใหลในสโมสรอย่างแท้จริง ผมได้ให้ทีมงานตั้งมูลนิธิการกุศลบริจาครายได้สุทธิทั้งหมดจากการขายสโมสร เพื่อช่วยเหลือเหยื่อสงครามในยูเครน นี่เป็นการตัดสินใจยากมากๆ และผมก็ลำบากใจที่ต้องทำแบบนี้ แต่สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับสโมสร ผมหวังว่าจะได้เยือนสแตมฟอร์ดบริดจ์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อบอกลาพวกคุณด้วยตัวผมเอง ถือเป็นสิ่งพิเศษตลอดชีวิตที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเชลซี ผมภูมิใจในความสำเร็จทั้งหมดของสโมสรเชลซี และกองเชียร์ที่นี่จะอยู่ในใจผมเสมอ”...“เสี่ยหมี” ออกแถลงการณ์สุดท้ายบ่งบอกความในใจ
...
ก็เพราะมีสายสัม พันธ์สนิทสนมใกล้ชิดมานานกับประธานาธิบดีปูติน จึงถูกกดดันหนักจากทางการอังกฤษบีบให้ขายทีมเชลซี หลังมีกระแสข่าวลือสะพัดว่า “อับราโมวิช” ถือหุ้นกิจการผลิตชิ้นส่วนรถถัง และมีเอี่ยวให้การสนับสนุน “ปูติน” ส่งกองกำลังทหารเข้าบดขยี้โจมตียูเครน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงหนีตายอพยพออกนอกประเทศ หวั่นจะเป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม
รัฐบาลชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐ อเมริกา, สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป รวมหัวกันคว่ำบาตรรัสเซียอย่างครอบคลุมรอบด้านและรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อหวังสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจรัสเซีย บีบให้หมีขาวต้องยอมถอยทัพ งานนี้เหล่ามหาเศรษฐีรัสเซียจึงพลอยโดนหางเลขถูกอายัดทรัพย์สินด้วย และได้รับผลกระทบอย่างสาหัสจากการประกาศตัดธนาคารรัสเซียบางแห่งออกจากระบบ SWIFT ที่เป็นตัวกลางโอนเงินข้ามประเทศ ทำให้ธนาคารในรัสเซียไม่สามารถทำธุรกรรมการเงินกับธนาคารของประเทศอื่นๆ ส่งผลลามไปทุกอุตสาหกรรม ขณะที่ชาติตะวันตกรุมกดดันต่อร่วมกันปิดน่านฟ้าไม่ต้อนรับเครื่องบินรัสเซีย
...
“เสี่ยหมี” ในฐานะคนสนิทและกระเป๋าเงินของ “ปูติน” จึงกลายเป็นเป้าหมายแรกๆที่ถูกชาติตะวันตกโจมตี เขาจำใจต้องขายเชลซี เพราะกำลังตื่นตระหนกกลัวจะถูกคว่ำบาตรด้วย เรียกว่าการแซงก์ชันรอบนี้พวกเจ้าสัวรัสเซียเดือดร้อนกันหมด ถูกยึดเงินในประเทศ ถูกไม่ให้ทำธุรกิจอะไรเลย แถมค่าเงินตกไป 30% ดอกเบี้ยขึ้นอีกเท่าตัว ข้าวของในรัสเซียแพงขึ้นมโหฬาร แม้จะมีทรัพยากรธรรมชาติมาก แต่ความมั่งคั่งลดลงทันตาเห็น
ย้อนดูเส้นทางการสร้างเนื้อสร้างตัวของ “เสี่ยหมี” ไต่เต้าจากเด็กกำพร้าเรียนไม่จบไฮสกูล จนกลายมาเป็นชนชั้นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต (Russian oligarchs) ติดทำเนียบมหาเศรษฐีรวยที่สุดเป็นอันดับต้นๆของรัสเซีย, อังกฤษ และอิสราเอล ล้วนมาจากความฉลาดในการต่อยอดสร้างคอนเนกชันกับนักการเมือง
...
ชีวิตวัยเด็กของ “เสี่ยหมี” ค่อนข้างอาภัพ แม่เป็นครูสอนดนตรี เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุขวบเดียว พอตอนอายุ 4 ขวบ ก็เสียพ่ออีกคน เขาจึงโตมากับครอบครัวลุง ใช้ชีวิตวัยเยาว์อยู่ที่เมืองโคมิ ทางตอนเหนือของรัสเซีย เอาจริงๆแล้ว “ยูเครน” ถือเป็นมาตุภูมิของบรรพบุรุษฝั่งแม่ ส่วนฝั่งพ่อเป็นชาวยิวในเบลารุสและลิทัวเนีย ถูกกวาดต้อนจากนาซีเยอรมนีในยุคที่รุกรานสหภาพโซเวียต จนครอบครัวพลัดพรากไปคนละทิศละทาง ด้วยภูมิหลังฝังใจเขาจึงตั้งตนเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนชุมชนชาวยิวในรัสเซีย, อิสราเอล และทั่วทุกมุมโลก
หลังเกณฑ์ทหารได้ 3 ปี “อับราโมวิช” เริ่มเข้าสู่โลกธุรกิจในปี 1988 เมื่อแผนการปฏิรูประบบการเมืองและเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต ภายใต้การนำของ “มิคาอิล กอร์บาชอฟ” เปิดโอกาสให้ประชาชนทำธุรกิจเอกชนขนาดเล็กได้ เขาเปิดบริษัททำตุ๊กตายาง ก่อนขยับไปสู่ธุรกิจค้าขายน้ำมัน รวมถึงเป็นพ่อค้าคนกลางขายไม้, น้ำตาล, สินค้าโภคภัณฑ์ และข้าวสารอาหารแห้ง
...
ชีวิตของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทันทีที่พบกับนักธุรกิจรุ่นใหญ่เจ้าแห่งคอนเนกชัน “บอริส เบเรซอฟสกี” ซึ่งเป็น “Oligarch รุ่นบุกเบิกในยุคประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน” โดยทั้งคู่จับมือกันเปิดบริษัทการค้านอกประเทศ และใช้เส้นสายการเมืองจนได้ควบคุมผลประโยชน์ในบริษัทน้ำมันใหญ่อันดับต้นๆของทางการรัสเซีย ในขณะที่เยลต์ซินเปิดให้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ภายใต้ข้อตกลงแบบ “loans-for-shares” อนุญาตให้กลุ่มบุคคลเล็กๆที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลได้ซื้อกิจการของรัฐในราคาต่ำกว่ามูลค่าจริง เพื่อแลกกับการเป็นนายทุนสนับสนุนเยลต์ซิน โดย “เสี่ยหมี” กับหุ้นส่วนผู้ชักนำเข้าวงการ จ่ายเงินคนละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อกิจการครึ่งหนึ่งของ “Sibneft” ในปี 1995 ทั้งที่มูลค่าจริงคาดว่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กระนั้น ภายหลังการสิ้นสุดยุคสมัยของเยลต์ซิน “เบเรซอฟสกี” พยายามใช้ทุกช่องทาง รวมถึงสื่อทีวีของตัวเอง เพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ประธานาธิบดีปูติน ผลจากความไม่ลงรอยกับผู้นำใหม่ ทำให้เขาจำใจขายหุ้น “Sibneft” ให้ “เสี่ยหมี” และสุดท้ายเมื่อภัยมาถึงตัว “เบเรซอฟสกี” ต้องหอบเงินมหาศาลหนีออกนอกประเทศ ขอลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่อังกฤษ ในปี 2000 ทิ้งให้ “Oligarch รุ่นใหม่” ที่ปลุกปั้นมากับมือตักตวงผลประโยชน์อย่างอิ่มหมีพีมัน สร้างความเจ็บใจอย่างมาก ถึงขนาดเคยฟ้องศาลสูงในลอนดอนกล่าวหาว่าโดน “เสี่ยหมี” ทำลายความไว้วางใจ, ผิดสัญญา และแบล็กเมล์ เรียกค่าเสียหายหลายพันล้าน กระนั้น ศาลไม่รับฟ้องเพราะขาดหลักฐานน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ “เสี่ยหมี” เข้านอกออกในทำเนียบเครมลินมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเยลต์ซินแล้ว แถมมีแหล่งข่าวระบุว่า เขาคือป๋าดันคนแรกที่เสนอแนะให้เยลต์ซินเลือก “วลาดิเมียร์ ปูติน” เป็นผู้สืบทอดอำนาจทางการเมือง ส่งผลให้ปูตินได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 1999 ว่ากันว่ายุคนั้นใครจะมาเป็นรัฐมนตรีต้องผ่านความเห็นชอบจาก “เสี่ยหมี” บอกเลยว่าสายสัมพันธ์ระหว่าง “เสี่ยหมี” กับ “ปูติน” แน่นแฟ้นชนิดมองตารู้ใจ นักเขียนอัตชีวประวัติของปูตินให้นิยามคู่นี้ว่า เป็นเหมือนพ่อกับลูกชายคนโปรด ถ้าพูดถึงชื่อ “Mr.A” ในเครมลิน จะรู้ว่าหมายถึง “อับราโมวิช” ขณะที่หน่วยข่าวกรองลับของอเมริกาเชื่อว่า “อับราโมวิช” คือคนหิ้วกระเป๋าเงินคอยเคลียร์ทางให้ปูติน โดยจากการขุดคุ้ยเอกสารลับของ “เดอะ ไทม์ส” เมื่อปี 2008 ระบุว่า “เสี่ยหมี” ยอมรับต่อศาลว่าเขาเคยจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มมาเฟีย เพื่อแลกกับการได้สิทธิครอบครองกิจการ และปกป้องทรัพย์สินมหาศาล
ไม่ว่าสายสัมพันธ์จะถูกเก็บงำเป็นความลับดำมืดขนาดไหน แต่การที่ “เสี่ยหมี” รวยเอาๆและยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก โดยได้รับสิทธิทำธุรกิจแทบทุกประเภทในรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจพลังงาน, สายการบิน, ธุรกิจอะลูมิเนียม, อุตสาหกรรมรถยนต์, บริษัทยา, บริษัทแปรรูปอาหาร, การเกษตร และที่ดิน ก็ย่อมเป็นหลักฐานชั้นดีบ่งชี้ถึงความซี้ปึ้ก!! เช่นเดียวกับบทบาททางการเมือง เขาได้รับเลือกตั้งเข้าไปในสภาดูมา ในฐานะผู้แทนราษฎรของรัฐเล็กๆยากจนทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ก่อนได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐ “Chukotka” ระหว่างปี 2000-2008 ทุ่มเงิน 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พัฒนาเมืองให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาก เนรมิตทุกอย่างตั้งแต่สร้างวิทยาลัย, โรงพยาบาล, โรงเรียน, สร้างเมืองใหม่ และปรับปรุงสนามบิน จนเป็นที่รักของชาวบ้าน
แม้เขาจะถูกตราหน้าเป็นคนบาปรับใช้ปูติน แต่สำหรับคนเชื้อสายยิวทั้งโลก ต่างยกย่อง “โรมัน อับราโมวิช” เป็นพ่อพระแห่งยุค เพราะเขาคือผู้อุปถัมภ์ใหญ่ที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือคนยิว โดยตลอดเวลา 20 ปี เขาบริจาคเงินไปมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนคนเชื้อสายยิว ด้านการศึกษา, วิทยาศาสตร์, การแพทย์ และสาธารณสุข ปัจจุบันเขาถือสัญชาติอิสราเอล เพราะขี้เกียจง้ออังกฤษที่ไม่ยอมต่อวีซ่าทุกครั้งที่มีปัญหากับรัสเซีย ล่าสุด เมื่อต้นปี 2021 เขายังได้สัญชาติโปรตุเกสมาเพิ่ม แถมยังมีอีกหลายชาติที่อยากเปิดบ้านอ้าแขนต้อนรับอาเสี่ยใจบุญ
แว่วมาว่าทางการยูเครนเคยติดต่อขอให้ “เสี่ยหมี” ช่วยเป็นคนกลางเจรจาสงบศึกกับรัสเซีย หลังประธานาธิบดีปูตินเปิดฉากโจมตีทางทหารมาตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา กระนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถหาข้อยุติใดๆ ก็ได้แต่ภาวนาให้ทำหน้าที่กาวใจได้สำเร็จ คงได้รับเสียงแซ่ซ้องไปทั้งโลก ในฐานะ “ฮีโร่ขี่ม้าขาว” ช่วยดับไฟสงคราม.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ