• ประชาชนในยุโรปออกมาเดินรวมตัวประท้วงกลางกรุง ไม่ว่าจะเป็นออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ อิตาลี รวมถึงเบลเยียม เพื่อต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ และข้อบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 
  • ยุโรปต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 5 จนผู้ป่วยในบางประเทศพุ่งสูงขึ้นถึง 3 เท่า ทำให้รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ซ้ำ พุ่งเป้าจำกัดการเข้ารับบริการต่างๆ เฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน กลายเป็นชนวนนำไปสู่การประท้วงใหญ่ในเมืองใหญ่ของยุโรป
  • ด้านผู้ประท้วงบางส่วนถือป้าย "ร่างกายของเรา ทางเลือกของเรา" เพื่อต่อต้านมาตรการบังคับการฉีดวัคซีน ขณะที่บางส่วนมองว่าการประกาศล็อกดาวน์นั้นเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ส่วนออสเตรียประกาศเตรียมบังคับประชาชนฉีดวัคซีนในวันที่ 1 ก.พ 65 ทำให้ออสเตรียเป็นประเทศแรกในยุโรปที่บังคับประชาชนฉีดวัคซีน

ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เกิดการประท้วงในเมืองใหญ่ต่างในยุโรป เพื่อต่อต้านการประกาศบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล รวมถึงข้อบังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรค ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยในหลายประเทศพุ่งสูงเช่นออสเตรีย มีตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า ในขณะที่เยอรมนีมีผู้ป่วยเฉลี่ยมากถึงวันละ 40,000 คน จนนำไปสู่การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ประท้วงที่ออกมารวมตัวกันกลางกรุงกว่าหมื่นคน ท่ามกลางโครงการฉีดวัคซีนที่เป็นไปอย่างล่าช้า

...

ด้านผู้ประท้วงมองว่าการล็อกดาวน์นั้นกระทบต่อธุรกิจและความเป็นอยู่ของผู้คน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่บางร้านต้องปิดตัวอย่างถาวร จะเรียกว่าประชาชนไม่สามารถทำมาหากินก็ว่าได้ รวมถึงยังมองว่าข้อบังคับฉีดวัคซีนนั้นและล็อกดาวน์เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยผู้ประท้วงมองว่าพวกเขาควรมีสิทธิตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะฉีดวัคซีนหรือไม่ ไม่ใช่ถูกภาครัฐบาลบังคับให้ฉีด นอกจากนี้ยังต่อต้านการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ต่อผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ทำให้กลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเข้ารับบริการต่างๆ ได้

เมื่อเสียงของรัฐบาลและประชาชนแตกเป็นสองฝ่าย สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือตัวเลขของผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นจนโรงพยาบาลในเยอรมนีบางแห่งเริ่มเผชิญกับปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล ขณะที่สถิติชี้ว่าตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 นั้นมากว่าการระบาดในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเสียอีก 

ปรากฏการณ์ต้านล็อกดาวน์ทั่วยุโรป

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเมืองหลวงสำคัญทั่วยุโรปเกิดการประท้วงเดือดไม่ว่าจะเป็นกรุงอัมสเตอร์ดัม โรม บรัสเซลส์ และเวียนนา ซึ่งการประท้วงในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรเลียนั้นถูกจุดประกายขึ้นจากการประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศ เป็นครั้งที่ 4 ทำให้ผู้คนต้องกลับไปทำงานจากที่บ้าน ร้านค้าต่างๆ ต้องปิดทำการอีกครั้ง ทำให้ผู้คนรวมตัวกันที่จตุรัสกลางกรุงเวียนนา เพื่อต่อต้านการประกาศบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ รวมถึงข้อบังคับฉีดวัคซีนของรัฐบาล ซึ่งผู้ประท้วงได้อ้างถึงสิทธิในการเลือกฉีดวัคซีน หลังจากที่รัฐบาลออสเตรียประกาศเตรียมบังคับประชาชนฉีดวัคซีนในวันที่ 1 ก.พ 65 ทำให้ออสเตรียเป็นประเทศแรกในยุโรปที่บังคับประชาชนฉีดวัคซีน ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ในออสเตรียพุ่งสูงขึ้นสามเท่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ยังมีรายงานการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ หลังจากที่ผู้ประท้วงขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้ต้องมีการยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ประท้วง โดยออสเตรียมีผู้ป่วยโควิด-19 สะสมกว่า 1 ล้านราย และเสียชีวิตทะลุ 11,000 ศพ

ส่วนประเทศเยอรมนี ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 5 ส่งผลให้ตัวเลขผู้ป่วยรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นทุบสถิติ โดยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานสาธารณสุขเยอรมนีรายงานตัวเลขผู้ป่วยรายวันเพิ่มขึ้นกว่า 42,000 ราย และ เสียชีวิต 75 ศพ ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยรวมทั่วประเทศพุ่งทะลุ 5,350,000 ราย และเสียชีวิตกว่า 99,000 ศพ ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยรายสัปดาห์เพิ่มสูงขึ้น 5 เท่าเมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว ด้านทางการเยอรมนีได้คุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยพุ่งเป้าไปที่ประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน โดยเยอรมนีมีตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนครบโดสราว 67 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นตัวเลขการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป

...

ส่วนในเบลเยียม ผู้ประท้วงกว่าหมื่นคนได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจใจกลางกรุงบรัสเซลส์ โดยผู้ประท้วงเรียกการเคลื่อนไหวดังกล่าวว่าเป็นการประท้วงเพื่ออิสรภาพ และต่อต้านการจำกัดสิทธิของผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน  ขณะที่ในเมืองรอตเตอร์ดัม ของเนเธอร์แลนด์ ได้เกิดความรุนแรงขึ้นเมื่อผู้ประท้วงปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีผู้บาดเจ็บ ส่วนเมืองใหญ่อื่นๆ ของเนเธอร์แลนด์อย่างกรุงอัมสเตอร์ดัม และเมืองเฮก ก็มีชาวดัชต์ออกมาเดินประท้วงเช่นกัน 

ด้านกรุงโรม ของอิตาลี ประชาชนออกมาต่อต้านการใช้ 'กรีน พาส' ซึ่งถูกบังคับใช้เมื่อเดือนตุลาคม โดยคนงานต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน และผลตรวจโรคเป็นลบ ไม่เช่นนั้นอาจถูกพักงานโดยที่ไม่จ่ายค่าจ้าง หรือถูกปรับเงิน 

ผู้ประท้วงมองว่าการถูกบังคับฉีดวัคซีนเป็นการละเมิดเสรีภาพ 

ในขณะที่ยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เหตุใดกลับมีชาวยุโรปออกมาเดินประท้วงในกลางกรุง ซึ่งส่วนใหญ่ได้ตะโกนสโลแกนต่อต้านการล็อกดาวน์ รวมถึงเรียกร้องเสรีภาพ ซึ่งในออสเตรียกลุ่มผู้ปะท้วงถือป้ายมีใจความว่า "My Body, My Choice" หรือ "ร่างกายของเรา ทางเลือกของเรา" ผู้ประท้วงมองว่าการถูกบังคับฉีดวัคซีนนั้นเป็นการละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคล ส่วนมาตรการล็อกดาวน์นั้นทำให้เศรษฐกิจดิ่งลงเหว

...

ด้านแคลร์ ดาลี ชาวไอริชสมาชิกคณะกรรมการเสรีภาพและความยุติธรรมของรัฐสภายุโรป ให้ความเห็นว่า การบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคระบาดจากภาครัฐในหลายประเทศ ทำให้ประชาชนไม่สามารถทำงานได้ และการที่ประเทศออสเตรียประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เฉพาะกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนนั้น เป็นสิ่งที่น่าตกใจ ขณะที่ในประเทศไอร์แลนด์เอง ที่มีประชาชนมากถึง 75.9 เปอร์เซ็นต์ ฉีดวัคซีนครบโดส ก็ยังเกิดการสาดคำพูดเชิงเกลียดชังต่อผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ถึงแม้ว่าประเทศส่วนใหญ่จะมีจำนวนผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้วกว่าครึ่ง แต่การบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดของภาครัฐทำให้เกิดเสียงแตกเป็นสองฝ่าย บางส่วนมองว่าประชาชนควรเข้ารับการฉีดวัคซีนด้วยความสมัครใจ ในขณะที่ทางการต้องการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดรุนแรงในช่วงเทศกาลสำคัญ 

ผู้เขียน: นัฐชา กิจโมกข์

ที่มา: smh, cnbc, bbc

...