พรรคคอมมิวนิสต์จีน ผ่านมติครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งช่วยยกสถานะของ สี จิ้นผิง ให้เทียบเท่าอดีตผู้นำคนสำคัญอย่าง เหมา เจ๋อตง และเติ้ง เสี่ยวผิง แล้ว

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน จัดการประชุมคณะกรรมการกลางเต็มคณะครั้งที่ 6 ต่อเนื่องเป็นเวลา 4 วัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 พ.ย. โดยมีการผ่านมติครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสถานะทางการของ ประธานาธิบดี สี จิ้งผิง ให้เข้มแข็งเทียบเท่าบุคคลสำคัญในอดีตของพรรคแล้ว

มติดังกล่าว มีการสรุปประวัติศาสตร์ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์ ระบุถึงผลงานสำคัญและทิศทางในอนาคต โดยนี่เป็นครั้งที่ 3 เท่านั้นที่มีการผ่านมติเช่นนี้นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรค ซึ่งครั้งแรกผ่านโดย เหมา เจ๋อตง เมื่อปี 2488 และครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในยุคของประธานาธิบดี เติ้ง เสี่ยวผิง

นักวิเคราะห์เชื่อว่า การเสนอมติดังกล่าวของ สี จิ้นผิง เป็นการยกสถานะทางการเมืองตัวเองให้เทียบเท่ากับประธานเหมา ผู้ก่อตั้งพรรค และผู้สืบทอดอย่างนายเติ้ง ขณะที่บางคนมองว่า มตินี้เป็นความพยายามล่าสุดของนายสี ที่จะย้อนคืนแนวทางการปกครองแบบกระจายอำนาจที่เริ่มตั้งแต่ยุคนายเติ้ง กลับสู่การปกครองแบบ ลัทธิบูชาบุคคล (cult of personality)

ทั้งนี้ นี่เป็นการประชุมกันครั้งสุดท้ายของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ชุดที่ 19 ก่อนจะถึงการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในปีหน้า ซึ่งคาดว่านายสีจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 คนแรกของจีน หลังจากเมื่อปี 2561 แดนมังกรยกเลิกห้ามประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 สมัย ปูทางให้สี จิ้นผิง ครองอำนาจไปตลอดชีวิต

นาย อดัม หนี่ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ไชน่า เน่ยชาน ระบุว่า สี จิ้นผิง พยายามยกตัวเองเป็นพระเอกในมหากาพย์การเดินทางของประเทศจีน การผลักดันมติประวัติศาสตร์ที่ทำให้เขากลายเป็นศูนย์กลางเรื่องเล่าอันยิ่งใหญ่ของพรรคและของจีนยุคใหม่ เป็นการแสดงอำนาจของนายสี และมตินี้ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เขารักษาอำนาจเอาไว้ได้ด้วย

...

นายหนี่บอกอีกว่า มติ 2 ครั้งก่อนในยุคเหมากับเติ้ง ถูกใช้เพื่อแบ่งแยกจากอดีต โดยมติครั้งแรกช่วยให้เหมารวมศูนย์อำนาจให้เขามีอำนาจเต็มที่ตอนประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 2492 ส่วนในยุคเติ้ง เขาออกมติครั้งที่ 2 ในปี 2524 วิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดของเหมาในการปฏิวัติวัฒนธรรมช่วงปี 2509-2519 ทำให้คนนับล้านต้องตาย เขายังวางรากฐานการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศด้วย

แต่มติล่าสุดของ สี จิ้นผิง กลับเป็นการเน้นย้ำความต่อเนื่องในการเติบโตของจีน ไม่ว่าจะในด้านเศรษฐกิจ, การทหาร และการยอมรับในฐานะมหาอำนาจ