องค์การอนามัยโลกเตือนวิกฤติโควิดระบาดจะลากยาวไปอีกหนึ่งปี จนถึงปี 2565 เพราะประเทศยากจนในทวีปแอฟริกาไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด ได้รับวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนยังไม่ถึง 5%
เมื่อ 21 ต.ค. 64 สำนักข่าวบีบีซีรายงาน ดร.บรูซ เอลวาร์ด ผู้นำอาวุโสในองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาเตือนถึงสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ว่า จะลากยาวออกไปอีกหนึ่งปี จนถึงปี 2565 ซึ่งนานเกินกว่าความจำเป็น อันเนื่องมาจากประเทศยากจนในทวีปแอฟริกายังเข้าไม่ถึง ไม่ได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 เพื่อนำไปฉีดให้แก่ประชาชน โดยจนถึงขณะนี้ มีผู้ได้รับวัคซีนในประเทศต่างๆ ในทวีปแอฟริกาอยู่ที่เพียงไม่ถึง 5% เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ในโลกที่มีประชาชนได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 40%
ดร.บรูซ เอลวาร์ด ซึ่งเป็นแพทย์และนักระบาดชาวแคนาดา ชี้ว่าการที่ประชาชนในทวีปแอฟริกายังได้รับวัคซีนเพียงแค่ 5% นั่นหมายถึงวิกฤติโควิด-19 อาจลากยาวไปจนถึงปี 2565 อย่างง่ายดาย จึงขอวิงวอนให้บรรดาประเทศร่ำรวยทั้งหลายยกเลิกคิวการจองวัคซีนเพื่อที่ว่าบริษัทเวชภัณฑ์จะสามารถมอบวัคซีนให้แก่ประเทศยากจนแทนก่อน อีกทั้งบรรดาชาติร่ำรวยจำเป็นต้องสต๊อกวัคซีนและบริจาควัคซีนให้แก่ชาติยากจน ตามข้อตกลงที่รับปากไว้ในการประชุมสุดยอดหลายครั้ง อย่างเช่น การประชุม G7 ที่เมืองเซนต์ไอฟส์ ในอังกฤษเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา
...
สำหรับวัคซีนโควิดส่วนใหญ่ถูกมอบให้ประเทศร่ำรวย รายได้สูงและประเทศรายได้ปานกลาง ในขณะที่ประเทศต่างๆ ในแอฟริกาได้รับวัคซีนแค่เพียง 2.6% ของจำนวนวัคซีนที่บริษัทเวชภัณฑ์ผลิตได้ในขณะนี้ โดยองค์กรช่วยเหลือทางการกุศลต่างๆ อย่างเช่น Oxfam และ UNAids ยังวิจารณ์แคนาดา และสหราชอาณาจักรที่ได้มีการจัดหาวัคซีนโควิดมาให้แก่ประชาชนในประเทศผ่านทางโครงการ Covax ซึ่งเป็นโครงการที่สหประชาชาติจัดตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการกระจายวัคซีนให้แก่ประเทศต่างๆ อย่างเป็นธรรมด้วย