1-7 ตุลาคม 2564 เป็นวันหยุดยาว การค้าขายภายในของจีนพุ่งแรง รายได้จากการขายเฉลี่ยรายวันของผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกในประเทศเพิ่มร้อยละ 9.9 เมื่อเทียบปีต่อปีและเพิ่มร้อยละ 25.4 เมื่อเทียบกับปี 2562 นี่เป็นข้อมูลจาก สนง.กิจการภาษีแห่งชาติจีน ซึ่งคำนวณมาจากเอกสารกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ที่มีกิจการในแผ่นดินจีน ปีนี้ก็แฮปปี้มีความสุขกันทั่วหน้า โควิด-19 ทำให้คนจีนออกนอกประเทศไม่ได้ การบริโภคภายในจึงบูมตูมตามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
การค้าระหว่างประเทศก็แรง รถไฟสินค้าจีนที่ไปประเทศต่างๆ วิ่งฉึกๆ ฉักๆ 24 ชั่วโมง ดูข้อมูลจากบริษัท เจิ้งโจว อินเตอร์เนชั่นแนล ฮับ เดเวลอปเมนต์ แอนด์ คอนสตรักชัน จำกัด พบว่า 1 มกราคม-6 ตุลาคม 2564 รถไฟสินค้าจีน-ยุโรปวิ่งแล้ว 1,114 เที่ยว ถ้านับตั้งแต่เปิดวันแรกจนถึงปัจจุบัน ก็วิ่งเป็นเที่ยวที่ 5,000 มูลค่าสินค้า 2.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (6.97 แสนล้านบาท)
มีเส้นทางเดินรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป 73 เส้นทาง เชื่อม 170 เมืองใน 23 ประเทศของทวีปยุโรป ความสำเร็จเกือบทั้งหมดมาจากวิสัยทัศน์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางหรือ BRI ตอนนี้ที่เปิดเส้นทางรถไฟกันใหญ่ 28 กันยายน 2564 มีรถไฟสินค้าจากเซี่ยงไฮ้ไปฮัมบวร์กของเยอรมนี ซึ่งเป็นรถไฟข้ามพรมแดนเซี่ยงไฮ้-ยุโรปสายแรก มีข่าวเปิดเส้นทางรถไฟสินค้าใหม่แทบทุกสัปดาห์
รถไฟและเรือขนส่งสินค้าทั้งวิ่งทั้งแล่นกันทั้งวันทั้งคืน ทำให้ความมั่งคั่งจากทั่วโลกไหลไปรวมกันที่จีน ผมดูรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ของปีที่แล้วเรื่อง Continental Shift: The World’s Biggest Economies Over Time ซึ่งเคยทำนายถึงประเทศที่มี GDP สูงสุดของโลก 10 อันดับในปี 2535/2551 และ 2567 ขอนำมาถ่ายทอดดังนี้
...
พ.ศ.2535 จีนเป็นประเทศที่มี GDP อยู่อันดับ 5 ของโลก และจะขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ใน พ.ศ.2567 จากอันดับ 1 สหรัฐฯจะหล่นมาเป็นอันดับ 2 ญี่ปุ่นจะร่วงมาเป็นอันดับ 4 ที่คาดไม่ถึงคือเยอรมนีจากอันดับ 3 จะร่วงลงมาอยู่อันดับ 7
จากอันดับ 4 รัสเซีย จะร่วงมาอันดับ 6 ส่วนอิตาลี จากอันดับ 6 จะหายไป ไม่ติดอันดับอะไรกับเขาเลย จากอันดับ Top 10 ฝรั่งเศสจะตกไปอันดับ 10 อินเดียจะผงาดขึ้นมาใหญ่อันดับ 3 บราซิลจะขึ้นมาอยู่อันดับ 8 ส่วนอังกฤษเดิมเคยบ๊วย จะขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 9
ประเทศที่เคยอยู่นอกสายตาคืออินโดนีเซีย ถึงตอนนี้เศรษฐกิจอินโดนีเซียจะพุ่งแรงแซงฝรั่งเศส อังกฤษ บราซิล เยอรมนี และรัสเซียไปที่อันดับ 5 ใครจะนึกครับว่า อินโดนีเซียประเทศที่เศรษฐกิจเคยย่ำแย่เพราะการเมืองวุ่นวาย หลังจากแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงแล้ว การเมืองก็เข้มแข็ง การเมืองที่เข้มแข็งทำให้เศรษฐกิจดีงามตามไปด้วย
เรื่องอินโดนีเซียนี่เคยคุยกันมานานเกือบ 20 ปีแล้วครับ ว่าด้วยขนาดของประชากร พื้นที่ และทรัพยากรธรรมชาติ ถ้ามีการเมืองที่มีเสถียรภาพ ไม่มีปฏิวัติรัฐประหาร เศรษฐกิจก็จะพุ่งขึ้นไปอยู่แถวหน้าของโลก
5 ประเทศที่มี GDP สูงสุดในปี พ.ศ.2567 ตามที่ IMF คาดการณ์ไว้เป็นชาติเอเชียถึง 4 ประเทศ มีสหรัฐฯเป็นตะวันตกอยู่อันดับ 2 เพียงประเทศเดียว ใครจะนึกเล่าครับว่าอดีตมหาอำนาจและเศรษฐีอย่างฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี รัสเซีย หรือแม้แต่บราซิลจะมี GDP ต่ำกว่าอินโดนีเซีย
นอกจากประชากร ทรัพยากรธรรมชาติแล้ว ยังมีเรื่องความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบด้วย ปัจจุบันอินโดนีเซียมีบริษัทระดับยูนิคอร์นมากถึง 6 แห่ง อินโดนีเซียในอดีตเป็นลูกไล่เนเธอร์แลนด์ คนอินโดนีเซียเคยโดนเจ้าอาณานิคมคือชาวดัตช์กดหัวข่มเหงมายาวนาน เพิ่งมาได้เอกราชเมื่อ พ.ศ.2492 นี่เอง
นายพลซูฮาร์โตควบคุมประเทศเมื่อ พ.ศ.2510 และยอมลงจากอำนาจเมื่อ พ.ศ.2541 ห้วง 32 ปี ที่ทหารซูฮาร์โตครองอำนาจ มีแต่ข่าวทุจริตคอร์รัปชันจนประเทศผอม อินโดนีเซียโชคดีที่ได้นายโจโก วีโดโด นักธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และนายกเทศมนตรีกรุงจาการ์ตาเป็นประธานาธิบดี เศรษฐกิจพุ่งในยุคนี้อย่างแรงครับ
แม้ว่าจะเป็นการคาดการณ์ของ IMF เมื่อปีที่แล้ว แต่ทุกคนเชื่อว่าคำทำนายนี้ยังจะเป็นจริงใน พ.ศ.2567 ครับ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com