- ชาวโลกมีความหวังขึ้นมาทันที หลังได้ยินข่าวดีจากบริษัทเมอร์ค ที่เผยรายงานผลการทดสอบเฟส 3 ของยาเม็ด 'โมลนูพิราเวียร์' ช่วยลดความเสี่ยงผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไม่ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลได้ถึงครึ่ง
- บรรดานักวิทย์ยกให้ยาโมลนูพิราเวียร์ถือเป็น 'ตัวเปลี่ยนเกม' ในสงครามโรคโควิด-19 เพราะนับเป็นยาต้านโควิด-19 ชนิดแรกที่มีการรายงานประสิทธิภาพยาจากการทดสอบเฟส 3 อีกทั้งยังสามารถสู้โควิด-19 ได้เกือบทุกสายพันธุ์ รวมทั้งเดลตา
- บริษัทเมอร์ค ตั้งเป้าผลิตยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับการรักษาผู้ติดเชื้อ 10 ล้านคอร์สในสิ้นปีนี้ ทันทีที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ
การออกมาประกาศความคืบหน้าในการทดสอบทางคลินิกเฟส 3 ยาเม็ดต้านโรคโควิด-19 'โมลนูพิราเวียร์' (Molnupiravir) โดยบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค (Merck & Co.) บริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ต้องถือเป็นข่าวดีและสร้างความหวังให้แก่ชาวโลกที่เผชิญกับวิกฤติเชื้อโควิด-19 ระบาดหนักมานานเกือบ 2 ปี คร่าชีวิตผู้คนล้มตายราวใบร่วงไปแล้วกว่า 4.55 ล้านศพ
นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยได้ยกย่องให้ยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งถูกพัฒนาโดยทีมนักวิจัยของบริษัทเมอร์ค ร่วมกับ บริษัท ริดจ์แบค ไบโอเทอราพิวติกส์ สองบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ในสหรัฐฯ ว่า คือตัวเปลี่ยนเกม (Game Changer) เพราะนี่ถือเป็นความคืบหน้าครั้งใหญ่ของการหาหนทางรักษาโรคโควิด-19 เลยทีเดียว ท่ามกลางการแข่งขันพัฒนายาต้านโควิด-19 ของบริษัทยายักษ์ใหญ่ทั่วโลก
ยาโมลนูพิราเวียร์ นับเป็นยาต้านโควิด-19 ชนิดแรกของโลกที่มีการเผยแพร่ประสิทธิภาพของยาที่มีการทดสอบทางคลินิกเฟส 3 กับกลุ่มอาสาสมัครผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อย หรือปานกลาง 775 คน และพบว่าสามารถลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดอาการป่วยหนัก หรือเสียชีวิตได้ถึงครึ่ง นอกจากนั้นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังสามารถรับประทานยาโมลนูพิราเวียร์ได้เองที่บ้าน จึงทำให้มีความสะดวกในการรักษาอาการป่วยเป็นอย่างมาก
...
ยาโมลนูพิราเวียร์ คืออะไร?
ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นชื่อทางเคมีที่ดั้งเดิมถูกพัฒนาเพื่อใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ มีลักษณะเป็นเม็ดแบบแคปซูล โดยยาโมลนูพิราเวียร์มีฤทธิ์ยับยั้งการจำลองแบบของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า SARS-Cov-2 ที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19
สำหรับการอธิบายแบบง่ายๆ ยาโมลนูพิราเวียร์ เป็นยาที่ทำให้กลไกของรหัสพันธุกรรม หรือ RNA ของเชื้อโควิด-19 เกิดความผิดพลาด จนทำให้ไม่สามารถจำลองตัวเอง หรือก๊อบปี้ตัวเองเพื่อแพร่พันธุ์ในร่างกายของมนุษย์ได้
ยาโมลนูพิราเวียร์ถูกค้นพบโดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัย Emory ในเมืองแอตแลนตา และขณะนี้กำลังถูกพัฒนาโดยนักวิจัยของบริษัทเมอร์ค ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองเคนิเวิร์ธ รัฐนิวเจอร์ซีย์ และบริษัทริดจ์แบค ไบโอเทอราพิวติกส์ ที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองไมอามี
ประสิทธิภาพของยาโมลนูพิราเวียร์?
บริษัทเมอร์คได้เผยแพร่รายงานการทดสอบทางคลินิกเฟส 3 ของยาโมลนูพิราเวียร์ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 64 ว่า จากการวิเคระห์ข้อมูลชั่วคราวจากการทดสอบแบบสุ่ม พบว่า ยาโมลนูพิราเวียร์ลดความเสี่ยงของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในการเข้าโรงพยาบาลได้ถึงประมาณ 50%
จากการทดสอบกับอาสาสมัครผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เริ่มมีอาการเล็กน้อย-ปานกลาง เป็นเวลา 5 วัน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 385 คน ได้รับประทานยาโมลนูพิราเวียร์ พบว่า มีเพียง 28 คน หรือคิดเป็น 7.3% ที่อาการรุนแรงขึ้นจนต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่อเทียบกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่กินยาหลอก (placebo) พบว่า 53 คน จาก 377 คน หรือคิดเป็น 14.1% ต้องเข้าโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิต 8 ราย หลังจากผ่านมา 29 วัน ในขณะที่ผู้ได้รับประทานยาโมลนูพิราเวียร์ ไม่มีใครเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม การทดสอบยายังเป็นการศึกษาในคนกลุ่มเล็ก และจำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติม โดยบริษัทเมอร์คมีแผนจะทดสอบทางคลินิกเฟส 3 กับอาสาสมัครผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มใหญ่ขึ้น เป็นจำนวน 1,550 คน ทว่าจากข้อมูลของคณะตรวจสอบอิสระได้ให้ยุติการทดสอบ เพราะเห็นว่ายามีประสิทธิภาพชัดเจน
บริษัทเมอร์ค และ ริดจ์แบค เริ่มเข้าสู่กระบวนการเพื่อเตรียมขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นกรณีฉุกเฉินจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA)
อีกทั้งก่อนหน้านี้ บริษัทเมอร์คได้แถลงในที่ประชุมเมื่อ ก.ย. หลังสิ้นสุดการทดสอบเฟส 3 ว่า ผลการวิจัยในเบื้องต้น ยาโมลนูพิราเวียร์สามารถต้านเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ส่วนใหญ่ได้ รวมทั้งสายพันธุ์เดลตา และแกมมา
รับประทานยาโมลนูพิราเวียร์อย่างไร?
การรับประทานยาโมลนูพิราเวียร์ในขณะนี้กำหนดให้เฉพาะผู้ติดเชื้อวัยผู้ใหญ่ และมีอาการเล็กน้อย-ปานกลางเท่านั้น โดยให้รับประทานยาซึ่ง 1 เม็ด มีขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดต่อคอร์ส โดยรับประทานครั้งละ 4 เม็ด (800 มิลลิกรัม) ห่างกันทุก 12 ชั่วโมง หรือหนึ่งวันรับประทานยา 2 ครั้ง ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน
...
และขณะนี้นักวิจัยกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาในการออกหลักเกณฑ์ของการกินยาให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ก่อนหน้านี้ผลการศึกษาพบว่า ยาโมลนูพิราเวียร์มีประสิทธิภาพต่ำในการใช้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว
นอกจากนั้นการศึกษาเรื่องหนึ่ง นักวิจัยกำลังทดสอบว่า ยาโมลนูพิราเวียร์สามารถป้องกันการแพร่กระจายจนทำให้เกิดการติดเชื้อภายในบ้านที่มีสมาชิกหนึ่ง หรือสองคนติดโควิดได้หรือไม่
มีผลข้างเคียงหรือไม่?
การวิเคราะห์ชั่วคราว พบว่า ไม่ก่อให้เกิดอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ โดยมีเพียง 1.3% ของผู้ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ที่ต้องหยุดกินยา เนื่องจากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เมื่อเทียบกับผู้กินยาหลอก ที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ 3.4% อย่างไรก็ตาม นักวิจัยจำเป็นต้องประเมินอาการข้างเคียงของยากับผู้ป่วยโควิดที่กลุ่มใหญ่กว่านี้
ตั้งเป้าเร่งผลิตยา
บริษัทเมอร์ค คาดหวังที่จะผลิตยาให้ได้สำหรับการรับประทานยาจำนวน 10 ล้านคอร์ส ในสิ้นปี 2021 และจะเพิ่มปริมาณการผลิตในปีหน้า 2022
...
บริษัทเมอร์ค ได้มีการตกลงทำสัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในวงเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์ และจะจัดส่งยาให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ จำนวน 1.7 ล้านคอร์ส ในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทันทีที่ยาโมลนูพิราเวียร์ได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉินจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ
ส่วน รัฐบาลออสเตรเลีย ได้สั่งจองยาโมลนูพิราเวียร์ล่วงหน้าไว้แล้ว 300,000 โดส โดยบริษัทเมอร์คได้แถลงว่า การตั้งราคายาโมลนูพิราเวียร์ในการจำหน่ายให้แก่ประเทศต่างๆ จะยึดตามเกณฑ์ของธนาคารโลกที่สะท้อนถึงความสามารถของประเทศเหล่านั้นในการจัดหาเงินทุนต่อการบริหารจัดการสถานการณ์โรคระบาดใหญ่
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทเมอร์ค แถลงว่า บริษัทได้มีการทำสัญญาตามความสมัครใจกับบริษัทผลิตยาหลายแห่งในอินเดีย เพื่อเป็นการเร่งอัตราการผลิตยาเพื่อจำหน่ายให้แก่ประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางกว่า 100 ประเทศในทันทีที่ยานี้ได้รับการอนุมัติรับรอง
จะสามารถแทนที่วัคซีนได้หรือไม่?
คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะวัคซีนยังคงถือเป็นโล่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการต่อสู้กับโควิด-19 เพราะขณะนี้ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในประเทศที่ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนในอัตราสูงแล้ว ด้วยเหตุนี้ ยาโมลนูพิราเวียร์จะเล่นในบทบาทสำคัญ คือ การลดอัตราผู้ป่วยที่จะป่วยหนัก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและบุคคลที่มีภูมิต้านทานในร่างกายอ่อนแอ ซึ่งวัคซีนมีประสิทธิภาพน้อย
...
สิ่งสำคัญอันดับแรกสุดในการต่อสู้กับโควิด-19 คือ การไม่ติดเชื้อ การออกมาตรการทางสาธารณสุขในที่สาธารณะและทางสังคม อย่างเช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาดและยุติการระบาดใหญ่ของโควิด-19.
เรียบเรียงโดย : อรัญญา ศรีจันทรนิตย์
ที่มา : Channelnewsasia, science, Bloomberg