ภายหลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตยคนใหม่เมื่อ 29 ก.ย. นายฟูมิโอะ คิชิดะ ผู้ซึ่งกำลังจะเป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นคนต่อไป ให้คำมั่นจะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเชื่อว่าการปรับขึ้นค่าแรงจะช่วยให้เกิดการกระจายความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น จะทำให้ญี่ปุ่นซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกเติบโตได้อีกครั้ง ปรับปรุงระบบการแพทย์ ตั้งโรงพยาบาลรักษาโควิด-19 ชั่วคราวทั่วประเทศ และยังวางแผนอัดฉีดเงิน 90 พันล้านดอลลาร์ในภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกด้วย

นอกจากปัญหาด้านเศรษฐกิจแล้ว ญี่ปุ่นยังมีปัญหาสะสมเรื้อรังอย่างประชากรสูงอายุและอัตราการเกิดต่ำที่รอการแก้ไข นอกจากนี้ นายคิชิดะ อดีต รมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น ยังให้คำมั่น 3 ประการในด้านนโยบายทางการทูตและความมั่นคง ยืนยันปกป้องประชาธิปไตยและค่านิยมตามสากลเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของญี่ปุ่น และสร้างภาพลักษณ์ของชาติโดยเพิ่มการมีส่วนร่วมของญี่ปุ่นในประชาคมโลก ทั้งในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และความท้าทายของโลกในประเด็นอื่นๆ เพื่อให้อินโด-แปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่เปิดกว้างและเสรี

ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้แสดงความกระตือรือร้นที่จะร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น โดยแถลงว่าสหรัฐฯให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเสาหลักของสันติภาพความมั่นคง และความเจริญในอินโด-แปซิฟิกและทั่วโลก ด้านนายไมเคิล กรีน รองประธานอาวุโสประจำเอเชียและญี่ปุ่นที่ศูนย์การศึกษายุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติ ชี้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯน่าจะรีบสานสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว และคงจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดด้วยว่านายคิชิดะจะสามารถเป็นผู้นำที่สร้างความเป็นปึกแผ่นได้หรือไม่

...

กรีนยังระบุว่าการพูดตรงไปตรงมาของคิชิดะเกี่ยวกับประชาธิปไตย ไต้หวัน และฮ่องกงน่าจะไปได้ดีกับไบเดน ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและการส่งเสริมประชาธิปไตย คิชิดะยังให้คำมั่นว่าจะตั้งตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษให้กับนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้จัดการกับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน เช่น การกล่าวหาว่าจีนละเมิดต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอุยกูร์ในเขตซินเจียงทางตะวันตกเฉียงเหนือ รวมถึงการปราบปรามขบวนการประชาธิปไตยของฮ่องกง และยังยินดีที่ไต้หวันยื่นคำร้องขอเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรีแปซิฟิกหรือ CPTPP ด้วย

อย่างไรก็ตาม ภารกิจเร่งด่วนสำหรับคิชิดะ นักการเมืองรุ่นเก๋าวัย 64 ปี ตอนนี้คือการเปิดตัวคณะรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งได้รับคะแนนนิยมสูง รวมทั้งได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรค LDP หลังจากที่คะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูกะ ดิ่งฮวบต่ำเป็นประวัติการณ์จากการที่ถูกมองว่าบริหารผิดพลาด.