ตอนที่พ่อแม่ภรรยาของผมและครอบครัวมาเมืองไทย เมื่อแนะนำว่าครอบครัวเหว่ยมีลูกสาว 2 คน หลายคนทำท่าประหลาดใจ เพราะข่าวที่รับทราบกันอยู่ตลอดเวลาก็คือ รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีบุตรได้เพียงคนเดียว ทว่าตามความเป็นจริง มีครอบครัวจำนวนหนึ่งมีบุตร 2 คน ภรรยาผมเกิด พ.ศ.2529 เป็นลูกสาวคนที่ 2 พ่อแม่ยอมเสียค่าปรับและยินดีที่จะไม่รับสวัสดิการจากรัฐบาลหลายอย่าง
โดยปกติเยาวชนจีน 1 คน มีคนคอยโอ๋ถึง 6 คน คือพ่อแม่ปู่ย่า และตายาย เยาวชนจำนวนไม่น้อยจึงโตมาด้วยการถูกตามใจ
คนจีนยุคใหม่นิยมอยู่ในเมืองใหญ่ เรียนหนังสือจบแล้วก็ไปแออัดยัดเยียดกันอยู่ในคอนโด ทิ้งชนบทให้มีแต่คนแก่ที่อยู่กันอย่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว หาคนทำเกษตรกรรมยากมากขึ้นทุกวันผมพาครอบครัวเมืองไทยไปเยี่ยมครอบครัวของภรรยาที่เมืองจีนต้องประกาศให้ทราบล่วงหน้าหลายวัน เพื่อให้ญาติรุ่นหนุ่มสาวจากเมืองใหญ่กลับมาอยู่กับญาติจากเมืองไทยพร้อมหน้าพร้อมตา อยู่กันได้แป๊บๆแว้บๆ เพียง 2-3 วัน ก็ต้องกลับไปเมืองใหญ่ต่อ มองไปที่ท้องทุ่งนาซึ่งเป็นถิ่นของบรรพบุรุษ ไม่มีคนทำนามาหลายปีแล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่ดำรงชีวิตด้วยเงินที่ส่งมาจากมหานคร
นโยบาย “ลูกคนเดียว” ที่เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ.2522 ป้องกันการเกิดใหม่ได้ถึง 400 ล้านคน ใครที่มีลูกเกิน 1 คน จะถูกปรับและถูกระงับสิทธิหลายอย่าง พอเริ่มตั้งท้องพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็จะพากันไปทำอัลตราซาวด์ ถ้าพบว่าเป็นเพศหญิงบางครอบครัวถึงขนาดยอมทำแท้งเพื่อรอลูกชายมาเกิด ทำให้อัตราส่วนระหว่างชายและหญิงไม่สมดุล จีนจึงมีประชากรชายมากกว่าประชากรหญิง
ทารกจีนเกิดใน พ.ศ.2563 เพียง 12 ล้านคน ลดลงร้อยละ 18 จาก พ.ศ.2562 ซึ่งมีทารกเกิด 14.65 ล้าน ขณะที่ประชากรวัยชราอายุ 60 ปีขึ้นไป มีมากถึง 264 ล้าน คิดเป็นร้อยละ18.7 ของประชากรจีนทั้งหมด
...
ทศวรรษที่แล้ว ประชากรวัยทำงานของจีนอยู่ที่ร้อยละ 70.1 ผู้คนเหล่านั้นช่วยกันทำงานเพื่อผลักดันเศรษฐกิจจีนให้มายืนอยู่ในแถวหน้าของโลก ทว่าปัจจุบันทุกวันนี้ประชากรวัยทำงานของจีนเหลือเพียงร้อยละ 63.3 คณะผู้บริหารสาธารณรัฐประชาชนจีนกังวลว่า ต่อไปในอนาคตแผ่นดินจีนจะเต็มไปด้วยผู้เฒ่าชะแรแก่ชรา แต่พวกที่อยู่ในวัยทำงานจะมีน้อยมาก
20 สิงหาคม 2564 คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติมีมติยกเลิกค่าปรับสำหรับคนที่มีลูกเกิน 1 คน ต่อไปนี้คู่สมรสมีความชอบธรรมตามกฎหมายในการมีบุตรได้สูงสุดถึง 3 คน
ถ้าจีนไม่ยกเลิกข้อจำกัดนี้ ในปี พ.ศ.2573 จีนจะมีประชากร 1,416 ล้าน ในขณะที่อินเดียจะมีประชากร 1,528 ล้าน สมัยที่โลกยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ประเทศไหนมีประชากรมากก็ยุ่งยากในการดูแล แต่สมัยนี้ตรงกันข้ามแล้วครับ ประชาชนมากและมีคุณภาพจะทำให้ประเทศเจริญ และหาเงินได้เพียงพอมาดูแลกลุ่มคนสูงวัย
สหประชาชาติประเมินว่า พ.ศ. 2573 สหรัฐฯจะมีประชากร 356 ล้านคน อินโดนีเซีย 295 ล้าน ปากีสถาน 245 ล้านบราซิล 228 ล้าน ไนจีเรีย 263 ล้าน ในโลกเราใบนี้ จะมีเพียง 7ประเทศที่ผมเอ่ยชื่อไปข้างต้นที่มีประชากรมากกว่า 200 ล้านคน
พ.ศ.2543 ประชากรโลกจะอยู่ที่ 6,127 ล้าน ถ้าเชื่อการประเมินของสหประชาชาติ ประชากรโลกใน พ.ศ.2573 จะอยู่ที่ 8,500ล้าน
นั่นคือการประเมินก่อนการเกิดการระบาดของโควิด-19 ถึงวันนี้ไม่มีใครกล้าฟันธงว่าโควิด-19 จะสงบจบลงหรือเบาบางจางฤทธิ์ลงเมื่อใด หรือแม้แต่โควิด-19 จะสงบจบลงแล้ว ก็อาจจะมีโรคระบาดประเภทอื่นที่อุบัติขึ้นมาเพื่อคร่าชีวิตมนุษย์อีกก็ได้
เมื่อยังมองอนาคตไม่ออก หลายประเทศจึงต้องวางแผนเติมทรัพยากรมนุษย์ไว้ก่อน เพื่อความอยู่รอดของประเทศและเผ่าพันธุ์ รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนระมัดระวังตัวในการเดินประเทศ จึงเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อรับมือกับวิกฤติที่จะมาจากศัตรูที่มองไม่เห็นอย่างเชื้อโรค.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com