"มิสซิสศรีลังกา" รับมงแล้วแต่โดนรุ่นพี่คว้าไมค์แฉหักหน้าบนเวทีว่าแอบหย่าสามีแล้วทำให้ขาดคุณสมบัติ ก่อนรวมหัวแก๊งนางงามถอดมงกุฎจากศีรษะเธอไปสวมให้รองอันดับ 1 อย่างหน้าตาเฉย

เมื่อวันที่ 6 เม.ย. เว็บไซต์ข่าว BBC รายงานว่า การประกวด "มิสซิส ศรีลังกา เวิร์ล2020" ที่กรุงโคลัมโบ ได้เกิดเหตุการณ์สุดฉาว หลังจากที่มีการประกาศผลออกมาว่า "นางพุชพิกา เดอ ซิลวา" เป็นผู้ชนะ โดยมีนางแคโรไลน์ จูรี เจ้าของตำแหน่งมิสซิสศรีลังกา ประจำปี 2019 เป็นผู้สวมมงกุฎให้กับนางงามคนใหม่ และเมื่อสวมมงกุฎให้เรียบร้อย พุชพิกาก็ออกเดินโบกมือตามธรรมเนียมของนางงาม

แต่จากนั้นก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันเมื่อ แคโรไลน์ จูรี กับเหล่าสาวงามผู้เข้าประกวดอีก 2-3 คนได้มีการรวมกลุ่มกันแฉกลางเวทีว่านางพุชพิกาไม่มีคุณสมบัติตามที่กองประกวดกำหนดไว้ โดยนางแคโรไลน์ได้เข้าไปแย่งไมค์จากพิธีกรบนเวทีมากล่าวต่อคณะกรรมการและแขกเหรื่อในงานว่า "เวทีนี้จัดประกวดสำหรับหญิงสาวที่ผ่านการแต่งงานแล้วเท่านั้น และห้ามคนที่ไปแต่งงานแล้วหย่ามาประกวด" เธอบอกว่าพุชพิกาเพิ่งหย่ากับสามี ทำให้เธอขาดคุณสมบัติ และมงกุฎจะต้องตกไปเป็นของรองอันดับ 1 ซึ่งเป็นเพื่อนของเธอแทน

จากนั้นนางแคโรไลน์ก็ตรงเข้าไปรื้อแกะมงกุฎออกจากศีรษะของพุชพิกา ส่งผลให้พุชพิกาต้องร้องไห้แล้วเดินไปด้านหลังเวที ท่ามกลางความงุนงงของทุกคนในงาน และผู้ชมทางบ้านที่ดูการถ่ายทอดสดการประกวดครั้งนี้

รายงานข่าวระบุว่า ล่าสุดทางกองประกวดออกแถลงการณ์ขอโทษพุชพิกาที่ปล่อยให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นบนเวทีการประกวด พร้อมระบุว่า กฎกติกากำหนดไว้ว่า มิสซิสศรีลังกาจะต้องเป็นหญิงที่ผ่านการแต่งงานมีครอบครัวแล้ว และตอนนี้ได้คืนมงกุฎให้กับพุชพิกาแล้ว เพราะจากการสืบสวนพบว่าตอนนี้เธอแยกกันอยู่กับสามีก็จริง แต่ไม่ได้มีการหย่าร้างตามกฎหมาย

...

พร้อมกันนี้ กองประกวดออกแถลงการณ์ตำหนินางแคโรไลน์ อดีตมิสซิสศรีลังกา ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ดูถูกดูหมิ่นให้ร้ายผู้อื่นต่อหน้าสาธารณชน

ขณะที่ นางพุชพิกาเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุเธอต้องไปโรงพยาบาลเพราะบาดเจ็บมีแผลที่ศีรษะจากการถูกยื้อแย่งมงกุฎไป เธอบอกว่าตอนนี้กำลังเตรียมฟ้องร้องกรณีที่ถูกหมิ่นประมาทบนเวที และได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสม เธอบอกว่าตอนนี้ศรีลังกามีคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างเธอจำนวนมากที่กำลังต้องอดทนอย่างทุกข์ตรม และมงกุฎนี้เธอขออุทิศให้กับผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องต่อสู้แบกรับภาระเลี้ยงลูกเพียงลำพัง.

ที่มา BBC