ประธานบริษัท หัวเว่ย ยอมรับว่า มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโทรศัพท์มือถือของพวกเขาอย่างหนัก และทำให้ยอดขายรายไตรมาสลดลงเป็นครั้งแรก
สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานในวันพุธที่ 31 มี.ค. 2564 ว่า หัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน มีรายได้รายไตรมาสลดลงเป็นครั้งแรกเมื่อไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา อันเป็นผลจากมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน โดยอ้างว่าหัวเว่ยเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ทำให้พวกเขาต้องผละออกจากธุรกิจสมาร์ทโฟนไปยังเทคโนโลยีด้านอื่นๆ แทน
หัวเว่ยระบุว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม พวกเขามีรายได้ลดลง 11% ไปอยู่ที่ 2.2 แสนล้านหยวน (ราว 1.048 ล้านล้านบาท) หลังจากเคยรายได้เติบโตขึ้น 3.7% ในไตรมาสที่ 3 และโต 23% ในไตรมาสที่ 2
ถึงกระนั้นหัวเว่ยยังมีการเติบโตที่แข็งแกรงในภาคธุรกิจอื่นๆ ทำให้รายได้โดยรวมตลอดปีของพวกเขาเพิ่มขึ้น 3.8% และมีกำไรเพิ่มขึ้น 3.2%
...
อย่างไรก็ตาม นายเคน หู ประธานบริษัท หัวเว่ย บอกกับสำนักข่าว บีบีซี ว่า การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ สร้างความเสียหายอย่างหนัก ทั้งต่อบริษัท, ซัพพลายเออร์ในสหรัฐฯ และผู้บริโภคทั่วโลก ทำให้พวกเขาแก้ปัญหาด้วยการสะสมชิพคอมพิวเตอร์, หันไปลงทุนในการวิจัยและพัฒนาต่างๆ และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้มากขึ้น โดยมีรายงานด้วยว่า ตอนนี้หัวเว่ยกำลังผลิตชิพเป็นของตัวเองภายในประเทศจีน
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ในยุคการปกครองของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวอ้างว่า การใช้อุปกรณ์ 5จี ของหัวเว่ย มีความเสี่ยงทำให้ข้อมูลถูกส่งต่อไปถึงรัฐบาลจีน หรืออาจมีจุดอ่อนให้ถูกปิดสวิตช์หยุดการทำงานได้ทันที แต่หัวเว่ยปฏิเสธ พร้อมยืนยันว่า พวกเขาไม่ยอมให้รัฐบาลจีนเข้ามาแทรกแซงการทำงานของบริษัท