18-19 มีนาคม 2564 ที่เมืองแองคอราจ รัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา มีการประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรกระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนและสหรัฐฯ นับตั้งแต่การเปลี่ยนอำนาจจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดีไบเดน

คณะของจีน นำโดยนายหยาง เจียฉือ สมาชิกกรมการเมืองและผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกิจการต่างประเทศส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน

คณะของสหรัฐฯ นำโดยนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศ และนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ

ฝ่ายจีนมีขอบเขตว่าห้ามมีการละเมิดหรือหยิบยกประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชน เช่น การปฏิบัติต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง การปราบปรามผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง แต่พอถึงคราวประชุม สหรัฐฯกลับเปิดประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ไต้หวัน อาชญากรรมไซเบอร์ต่อสหรัฐฯ และการที่จีนใช้อิทธิพลบีบบังคับทางเศรษฐกิจต่อพันธมิตรของสหรัฐฯ นายบลิงเคนบอกว่า นโยบายและการกระทำของจีนในเรื่องต่างๆ ที่ว่ามานั้น เป็นภัยคุกคามต่อระเบียบโลก

การประชุมร่วมอย่างเป็นทางการครั้งนี้ ฝ่ายจีนใช้ภาษาจีนกลางและใช้ล่าม การประชุมในยุคปัจจุบัน แม้ว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่คณะผู้นำจะใช้ภาษาของตัวเองในการเจรจาที่เป็นทางการ ส่วนเรื่องการแปลภาษา มอบให้ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนก็มีวัฒนธรรมด้านภาษาที่สำคัญของโลกเช่นเดียวกัน

คณะผู้แทนจีนพูดว่า “สหรัฐฯชอบใช้อิทธิพลไปข่มขู่ประเทศอื่น ทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร เพราะต้องการแสดงความเป็นเจ้าโลก ต้องการแสดงออกว่าตนมีอิทธิพลเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง การกระทำของสหรัฐฯเป็นการละเมิด ขัดขวางกระบวนการอำนาจอธิปไตยและกระบวนการยุติธรรม เป็นอุปสรรคต่อการค้าเสรี”

...

“สหรัฐฯทำตัวเป็นแกนนำปลุกระดมประเทศต่างๆ ให้มีความคิดต่อต้านจีน สหรัฐฯไม่ควรวางตัวว่าอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าจีนด้วยการใช้คำว่า สหรัฐฯเป็นฝ่ายต้องการพูดกับจีน”

พอโดนจีนโต้กลับเข้าอย่างนี้ มือใหม่หัดขับอย่างนายบลิงเคนก็เสียงอ่อย บอกว่า สหรัฐฯไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งกับจีน แต่สหรัฐฯต้องยืนหยัดต่อหลักการของตนเอง รวมทั้งครอบคลุมถึงการปกป้องพันธมิตรของสหรัฐฯด้วย

การพูดกล่าวเปิดการประชุมที่อยู่ต่อหน้าสื่อมวลชน กำหนดไว้ให้ฝ่ายละ 2 นาที เป็น 2 นาทีที่ต่างออกหมัดเด็ด เพื่อให้โลกรู้ว่าฝีมือของใครเหนือกว่ากัน จีนมีข้อเสียนิดหน่อยในการกล่าวเปิดการประชุม เพราะพูดเกินเวลาที่กำหนด

ก่อนการบินมาประชุมครั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนและฮ่องกง 24 คน นี่เป็นเทคนิคของสหรัฐฯ ที่มักจะโยนข้อหาต่างๆ ใส่ฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อน จะจริงหรือไม่ ไม่รู้ แต่มัดมือฝ่ายตรงข้ามไว้ด้วยวิธีการลงโทษคว่ำบาตร เมื่อฝ่ายจีนถามถึงเรื่องการคว่ำบาตร ทั้งบลิงเคนและซัลลิแวนเงียบ

สมัยที่สหรัฐฯเชิญเจียง เจ๋อหมิน ไปเยือนสหรัฐฯ สหรัฐฯในยุคนั้นก็ทำทุเรศหลายเรื่อง เช่น ก่อนที่จะเข้าประชุมก็ปล่อยให้มีการจัดนิทรรศการการปราบปรามนักศึกษาที่เทียนอันเหมิน เหมือนกับเป็นการด้อยค่าจีน ไม่ให้เกียรติจีนซึ่งเป็นผู้ที่ตนเชิญมาเยือน เป็นการกดหัวจีนให้ดูต่ำไว้ก่อน

ตอนที่อดีตประธานาธิบดีคลินตันไปเยือนจีน จีนก็เอากลับ ด้วยการไม่รับที่กรุงปักกิ่ง แต่ให้ไปเยือนอดีตเมืองหลวงเก่าซีอาน ให้ไปเห็นอารยธรรมเก่าแก่หลายพันปีของจีน เหมือนกับจะบอกว่าเอ็งเป็นประเทศเด็กๆ สหรัฐฯเป็นไอ้หนูที่ฟันน้ำนมยังไม่หัก

พอได้เข้าไปกรุงปักกิ่ง คลินตันและนางฮิลลารีก็ออกนอกโปรแกรม ไปพบกับเด็กนักเรียนและครูในสถานศึกษาที่ค่อนข้างล้าหลัง ไปพร้อมกับนักข่าวโขยงใหญ่ นี่เป็นเทคนิคของสหรัฐฯที่ต้องการที่จะให้ภาพด้านลบของจีนเหล่านี้แพร่ไปทั่วโลก

การเมืองระหว่างประเทศ เขาเล่นกันอย่างนี้ครับ ผู้นำที่ไปนั่งเข่าชิด มือกุมอยู่ที่ตัก และร้องว่า เยส เยส เยส โอเค โอเค ไม่ได้กินเขาดอกครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com