องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์ ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดร่วมกับบริษัทแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) หลังจากหลายประเทศในยุโรป อาทิ เดนมาร์ก นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ ได้สั่งระงับด้วยความกังวลอาจเป็นเหตุให้เกิดภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ
องค์การอนามัยโลก ระบุว่า คณะกรรมาธิการที่ปรึกษาด้านวัคซีนขององค์การอนามัยโลกได้ดูที่ข้อมูลความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา และย้ำว่าไม่พบความเกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นระหว่างวัคซีนของแอสตราเซเนกา และภาวะเลือดแข็งตัว
มาร์กาเร็ต แฮร์ริส โฆษกประจำองค์การอนามัยโลกได้แถลงข่าวกับผู้สื่อข่าวที่สำนักงานใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ในนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนที่ยอดเยี่ยม และเป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 อีกชนิดที่กำลังมีการใช้กันอยู่ พวกเราได้มีการตรวจสอบทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิต และพบว่าไม่มีผู้เสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา
...
‘เราควรจะใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาต่อไป’ มาร์กาเร็ต แฮร์ริส พูดเสริม พร้อมย้ำว่า การมีสัญญาณใดๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีนต้องมีการตรวจสอบ ‘พวกเราต้องให้ความมั่นใจเสมอในการใช้วัคซีน ซึ่งเราต้องดูสัญญาณความปลอดภัยทุกๆอย่างเมื่อพวกเราได้มีการฉีดวัคซีน แต่ไม่มีเครื่องบ่งชี้ว่าควรยุติการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาแต่อย่างใด’ โฆษกองค์การอนามัยโลกกล่าว
ด้านเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงของเยอรมนี กล่าวด้วยว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกามีความปลอดภัย และกระทรวงสาธารณสุขเยอรมนีจะยังคงฉีดให้แก่ประชาชนต่อไป
ทั้งนี้ ประเทศไทย ถือเป็นชาติแรกในเอเชียที่ประกาศชะลอการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา และเลื่อนการฉีดวัคซีนให้แก่นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ ซึ่งมีกำหนดฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากต้องการตรวจสอบความปลอดภัยให้มั่นใจกว่านี้ หลังจากหลายชาติในยุโรปได้ประกาศระงับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเพราะกังวลเกี่ยวกับภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ
ที่มา : Channelnews asia