เครื่องบินรบไอพ่นพับปีกลู่หลังได้ ในดวงใจของคนรักเครื่องบิน ดาราจากภาพยนตร์จากเรื่อง TOPGUN ตำนานครึ่งศตวรรษของแมวร้ายของกองทัพเรือสหรัฐฯ เอฟ-14 ทอมแคท ครบ 50 ปี นับตั้งแต่ขึ้นบินครั้งแรก

หากให้กล่าวถึงเครื่องบินรบไอพ่นในดวงใจของคนรักเครื่องบินมา 1 ลำ ส่วนตัวผมเชื่ออย่างสนิทใจว่า เชื่อว่าคำตอบของใครๆ หลายคนคงเทใจให้เครื่องบินขับไล่ไอพ่นประจำเรือบรรทุกเครื่องบินอย่าง กรัมแมน เอฟ-14 ทอมแคท (Grumman F-14 Tomcat) กันแน่นอน ด้วยภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขาม รูปทรงสวยงามสะดุดตา มีปีกใหญ่ที่สามารถพับลู่หลังได้ มี 2 แพนหางดิ่งกับ 2 เครื่องยนต์ เคยปรากฏตัวในภาพยนตร์ฮอลลีวูดดังในยุค 80-90 อย่าง ท็อปกัน ไฟนอลเคาต์ดาวน์ และเอ็กเซ็กคิวทีฟ ดิซิชั่น (ทั้งหมดหาดูได้ในเน็ตฟลิกซ์) อีกทั้งยังเป็นเครื่องบินที่ถูกนำไปทำเป็นวิดีโอเกมซีรีส์ดังมากมาย และยังเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบยานรบ VF-1 วาลคีรี ในการ์ตูนญี่ปุ่น "มาครอส" (Marcross) อีกด้วย

เอฟ-14 ขึ้นบินเที่ยวแรกในวันที่ 21 ธ.ค.1970 และเข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ ในปี 1974 บนเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ ยูเอสเอสเอ็นเทอร์ไพรซ์ CVN-65 ทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-4 บี/เอ็น/เจแฟนธอมทู โดยมันออกแบบมาเพื่อครองอากาศและขับไล่สกัดกั้น ภารกิจแรก คือ การลาดตระเวนคุ้มกันทางอากาศในช่วงปลายสงครามเวียดนาม สนับสนุนการถอนกำลังออกจากเวียดนาม

...

กำเนิดแมวทอมอันเลื่องชื่อ

F-14 Tomcat ได้รับการพัฒนาขึ้นมาสำหรับโครงการ Naval Fighter Experimental (VFX) ของกองทัพเรือสหรัฐฯ หลังจากการล่มสลายของโครงการเครื่องบินขับไล่ F-111B ที่พัฒนาขึ้นโดยเจเนอรัล ไดนามิกส์ พาร์ตเนอร์ของทางกรัมแมน ที่นำเอาเครื่องบิน เอฟ-111 ที่ประสบความสำเร็จในการขายให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ มาต่อยอดเป็นรุ่นสำหรับใช้งานบนเรือบรรทุกเครื่องบิน โดยมีหัวใจสำคัญคือ การติดตั้งเรดาร์ AN/AWG-9 อันเป็นเรดาร์แบบพัลส์ดอปเลอร์ เรดาร์มัลติโหมด ทุกกาลอากาศ ความถี่เอ็กซ์แบนด์ ที่มีขีดความสามารถในการตรวจจับระยะไกลมาก ใช้งานร่วมกับอาวุธปล่อยอากาศ-สู่-อากาศ เอไอเอ็ม 54 ฟินิกซ์ (AIM-54 Phoenix) แต่สุดท้ายโครงการเอฟ-111 บีได้ยกเลิกไป ทางกรัมแมนได้เอาจุดเด่นของ เอฟ-111 บี มาออกแบบใหม่ให้เหมาะกับเรือบรรทุกเครื่องบิน ในชื่อ Design 303 และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น F-14 หลังได้รับเลือกจากกองทัพเรือสหรัฐฯ ในโครงการ VFX โดยเอฟ-14 เป็นเครื่องบินรบรุ่นแรกของ "American Teen Series" ซึ่งได้รับการออกแบบโดยผสมผสาน โดยประสบการณ์การต่อสู้ทางอากาศ กับเครื่องบินรบ MiG ในช่วงสงครามเวียดนาม

ชื่อ "ทอมแคท" มีที่มาจากการตั้งชื่อเป็นเป็นเกียรติแก่ พลเรือโททอมมัส คอร์แนลลี่ รองหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการทางเรือ ฝ่ายสงครามทางอากาศ กองทัพเรือสหรัฐฯ โดยเป็นชื่อเรียก "Tom's Cat" หรือแมวของทอม โดยชื่อ Cat เป็นชื่อของเครื่องบินขับไล่ของกรัมแมนที่ประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ตั้งชื่อเป็นสัตว์ตระกูลแมวมามากมายหลายรุ่นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปลายทศวรรษที่ 60

พลเรือโทคอร์แนลลี่ เสนอโครงการ VFX ต่อสภาคองเกรสขึ้นมาแทน หลังการระงับงบประมาณในโครงการเอฟ-111 บี แล้วโดยมีสเปกเครื่องที่ต้องการเครื่องบินขับไล่อากาศสู่อากาศ แบบสองที่นั่ง ความเร็วสูงสุด 2.2 มัค นอกจากนี้ยังมีปืนใหญ่ M61 Vulcan ในตัวและหน้าที่สนับสนุนทางอากาศระยะใกล้ ส่วนขีปนาวุธอากาศสู่อากาศของเครื่องบินในโครงการ VFX จะเป็น AIM-54 Phoenix 6 ลูก หรือติดตั้ง AIM-7 Sparrow 6 ลูก และขีปนาวุธ AIM-9 Sidewinder 4 ลูก โดยมีผู้ยื่นประมูล 4 รายรวมทั้งกรัมแมน ที่ชนะได้รับเลือกด้วยดีไซน์ 303 ในปี 1967 และกรัมแมนได้ออกแบบให้ลงตัวจนเป็นเอฟ-14 ในปี 1968

...

บทเรียนจากสงครามเวียดนาม สู่การออกแบบพัฒนายอดเครื่องบินรบ

ในสงครามเวียดนาม กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ประสบการณ์ในการรบทางอากาศมาอย่างมากมาย เครื่องบินขับไล่ที่ใช้ในตอนนั้นขาดอาวุธป้องกันตัวในระยะไกล เพราะไม่ได้ติดปืนไว้บนเครื่องบิน ขณะที่แม้เครื่องบินสหรัฐฯ จะได้เปรียบเรื่องความเร็ว แต่ก็เป็นอีกเรื่องเมื่อต้องสู้กับเครื่องบินมิกที่มีความคล่องแคล่วในระยะประชิด เพื่ออุดช่องว่าง เอฟ-14 ทอมแคทจึงมีปืนกล 20 มม.ติดมากับเครื่องด้วย นอกเหนือจากขีปนาวุธนำวิถี นอกจากนี้ยังได้ออกแบบลำตัวให้มีรูปทรงแอร์โรว์ไดนามิก เพื่อความคล่องตัว อีกทั้งมีปีกที่สามารถกางและพับได้ โดยปีกกางสุด 20 องศาฯ ทำให้เครื่องบินสามารถบินได้อย่างมั่นคงในความเร็วต่ำเพื่อบินขึ้นและร่อนลงจอด และหุบปีกที่มุม 68 องศาฯ เพื่อการบินในย่านความเร็วสูงถึง 2.4 มัค และประหยัดพื้นที่จอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน

เอฟ-14 เอ ทอมแคท
รุ่นแรกถูกผลิตออกมาจากโรงงาน 478 ลำ และ ผลิตให้กองทัพอากาศอิหร่าน 80 ลำ โดยเอฟ-14 ลำที่ 80 ไม่ได้มีการส่งมอบและถูกนำไปใช้งานโดย ทร.สหรัฐฯ มีเอฟ-14 เอ จำนวน 102 ลำสุดท้ายติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบแฟน ทีเอฟ30-พี-414เอ ต่อมา ได้มีการอัปเกรดเอฟ-14เอ เดิมเป็นรุ่น เอฟ-14เอ+ (พลัส) โดยมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ ทีเอฟ30 ที่ติดตั้งมาแต่แรก เป็นจีอี เอฟ110-400 แทน โดยยังได้เพิ่มระบบเรดาร์เตือนภัย (RWR) รุ่น เอแอลอาร์-67 ทั้งนี้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการเดินอากาศอวิโอนิกส์ส่วนมากยังคงเหมือนเดิม ต่อมาเอฟ-14เอ+ ถูกเรียกว่า เอฟ-14บี (F-14B) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 1991 มีเครื่องบินใหม่ทั้งหมด 38 ลำที่ถูกผลิตขึ้นมา และเอฟ-14เอ จำนวน 48 ลำ ถูกอัปเกรดให้เป็นรุ่นบี และเอฟ-14บี จำนวน 67 ลำถูกปรับปรุงให้มีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้น และมีการพัฒนาระบบอวิโอนิกส์ในการป้องกันและโจมตีให้ดียิ่งขึ้น เครื่องบินที่ได้รับการอัปเกรดเพิ่มนี้ จะกลายเป็นเอฟ-14บี อัปเกรด (F-14B Upgrade)

...

แบบสุดท้าย ของเอฟ-14 คือ เอฟ-14ดี ซูเปอร์ทอมแคท (F-14D Super Tomcat) รุ่นดี ถูกส่งมอบครั้งแรกเมื่อปี 1991 มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ จากที่ใช้ ทีเอฟ30 ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์จีอี เอฟ110-400 เหมือนกับของรุ่นบี เอฟ-14ดี ยังมีระบบอวิโอนิกส์ดิจิทัลที่ใหม่กว่า หรือที่เรียกว่า กลาสค็อกพิท และเปลี่ยนเรดาร์เอดับบลิวจี-9 ที่ใช้แต่เดิม เป็นรุ่นใหม่ คือ เรดาร์เอเอ็น/เอพีจี-71 ระบบอื่นๆ ยังรวมทั้ง ระบบป้องกันตนเองจากการรบกวนด้วยอิเล็กทรอนิกส์ทางอากาศ หรือ เอเอสพี (Airborne Self Protection Jammer, ASPJ) ระบบเกื้อหนุนข้อมูลทางยุทธวิธีร่วม หรือเจทีไอดีเอส (Joint Tactical Information Distribution System, JTIDS) เก้าอี้ดีดตัวรุ่นเอสเจยู-17(วี) ที่สามารถดีดตัวได้จากทุกความเร็วทุกความสูง กล้องตรวจจับอินฟราเรดค้นหาและติดตามที่ใต้ส่วนหัว

แม้ว่าเอฟ-14ดี ซูเปอร์ทอมแคท จะเป็นรุ่นที่แตกต่างจากทอมแคท ธรรมดา แต่ก็ไม่มีกองบินใดที่ได้รับรุ่นดี ในปี 1989 นายดิก เชนีย์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ได้ปฏิเสธที่จะอนุมัติการซื้อเอฟ-14ดี มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเอาเงิน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปใช้กับการพัฒนาเอฟ-14 รุ่นเก่าแทน สภาคองเกรสตัดสินใจที่จะไม่หยุดการผลิต และอนุมัติงบประมาณกับเครื่องบินรุ่นดี 55 ลำ โดยแบ่งเป็นการสร้างเครื่องบินใหม่ 37 ลำ และนำเอาเอฟ-14 เอ 18 ลำที่มีโครงสร้างสภาพดี เอามาปรับปรุงเป็นรุ่นดี เรียกรุ่นนี้ว่า F-14D(R)

...

สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก จากหนังฮอลลีวูด TOPGUN

ในปี 1986 ภาพยนตร์ TOPGUN แนวแอ็กชั่นดราม่า ที่กำกับโดยโทนี่ สก็อต และมีดอน ซิมป์สัน และเจอรี่ บรัคไฮม์เมอร์ เป็นผู้อำนวยการสร้างได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ โดยมีนักแสดงดังอย่าง ทอม ครูซ เคลลี่ แมคกิลล์ วัล คิมเมอร์ และ แอนโธนี่ เอ็ดเวิร์ดส โดยทอม ครูซ รับบทเป็น ร.ท.พีท มิตเชลล์ นามเรียกขาน "มาเวอริค" นักบินหนุ่มเครื่องบิน เอฟ-14 ทอมแคท ที่ร้อนแรงดั่งไฟ ประจำการอยู่กับฝูงบิน VF-1 บนเรือบรรทุกเครื่องบินเอ็นเทอร์ไพรส์ คู่กับเพื่อนคู่ใจ ที่ทำหน้าที่เป็นนายทหารควบคุมเรดาร์ (RIO) นั่งหลังให้กับเขา คือ ร.ต.นิค แบรนดชอว์ นามเรียกขาน "กูส" แสดงโดย แอนโธนี่ เอ็ดเวิร์ดส

เรื่องราวในหนังจะเป็นเหตุการณ์ที่มาเวอริคและกูสจับพลัดจับผลูได้รับเลือกให้ไปฝึกอบรมหลักสูตรของโรงเรียนท็อปกัน (TOPGUN) หรือ US Navy's Fighter Weapons School ที่สถานีการบินนาวี มิราม่า เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเนื้อเรื่องเริ่มจาก การมาเข้าฝึกหลักสูตรท็อปกัน ที่เป็นการฝึกสุดยอดนักบินรบของกองทัพเรือสหรัฐฯ โดยเหล่าครูฝึกที่เป็นอดีตนักบินผ่านศึกสงครามเวียดนาม มาเวอริค เจอกับคู่แข่งคือ ร.ท.ทอม คาแซนสกี้ นามเรียกขานไอซ์แมน แสดงโดยวัล คิมเมอร์

เรื่องจะดำเนินไปโดยมีเครื่องบิน เอฟ-14 บินฝึกรบทางอากาศ โดยทีมโปรดักชั่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ มีการติดตั้งกล้องไว้กับเครื่องบิน จึงทำให้ได้มุมภาพการบินที่ดูสมจริงตื่นตาตื่นใจ มากกว่าหนังสงครามเรื่องอื่นๆ ที่ใช้สเปเชียลเอฟเฟกต์ ถ่ายกับม็อกอัพที่อยู่กับพื้น ในภาพยนตร์จะได้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่และเครื่องบินบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ตั้งแต่การนำเครื่องบินเอฟ-14 เข้าสู่เครื่องดีดด้วยไอน้ำเพื่อส่งเครื่องบินขึ้นสู่อากาศ ไปจนถึงการลงจอดด้วยตะขอเกี่ยว จนเป็นความประทับใจที่แฟนหนังมีต่อ เอฟ-14 โดยตามเนื้อเรื่อง มาเวอริคจะสูญเสียกูสเพื่อนรักไป จากเหตุการณ์ที่เครื่องบินเครื่องยนต์ขัดข้องดับทั้ง 2 เครื่อง เนื่องจากบินเข้าไปเจอกระแสไอพ่นของเครื่องบินไอซ์แมน แม้จะดีดตัวแต่กูสดีดไม่พ้นประทุนฝาครอบห้องนักบิน ทำให้เขากระแทกเต็มแรงเสียชีวิตทันที มาเวอริคต้องต่อสู้กับความเศร้าและท้อ จนสามารถจบหลักสูตรมาได้ และได้รับเลือกให้ไปปฏิบัติการในภารกิจพิเศษ นำมาซึ่งวีรกรรม ยิงเครื่องบินข้าตก 3 ลำ ภายหลังเขาก็ย้อนกลับมาเป็นครูฝึกของ TOPGUN อีกครั้ง

เมื่อทอมแคทของสหรัฐฯ เข้าสู่สนามรบจริง

หลังจากเข้าประจำการในปี 1972 เอฟ-14 ได้ถูกบรรจุลงฝูงบินขับไล่นาวีที่ 1 และ 2 VF-1 Wolfpack VF-2 Boundty Hunter ที่สถานีการบินนาวีมิราม่า เมืองซานดิเอโก้ เมื่อฝึกบินจนพร้อมรบได้ถูกบรรจุลงเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอสเอ็นเทอร์ไพรส์ CVN65 เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ ลำแรกของสหรัฐฯ มุ่งหน้าเข้าสู่สมรภูมิเวียดนาม แต่กว่าจะไปถึงก็เป็นช่วงปลายสงครามที่กองทัพสหรัฐฯ กำลังถอนกำลังจากกรุงไซง่อน และเอฟ-14 ไม่เคยได้ประมือกับ มิก-21 อันร้ายกาจของกองทัพอากาศเวียดนามเหนือเลย

เอฟ-14 ได้เข้าสู่การรบจริงครั้งแรกในวันที่ 19 ส.ค.ปี 1981 โดยเอฟ-14 จากฝูงบิน VF-41 แบล็คเอซ จากเรือบรรทุกเครื่องบินนิมิตซ์ CVN68 ขณะทำภารกิจสังเกตการณ์ทดสอบยิงขีปนาวุธของลิเบียในน่านน้ำสากลของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เครื่องบินโจมตีซู-22 ฟิตเตอร์ ของลิเบียมุ่งหน้าเข้าหาเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ เอฟ-14 2 ลำเข้าสกัดกั้นและยิงตกด้วยอาวุธปล่อยนำวิถีด้วยความร้อน ไซด์วายเดอร์ ทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามเปิดฉากยิง

ต่อมาในวันที่ 4 ม.ค. 1989 เครื่องบินเอฟ-14 ทอมแคท 2 ลำจากฝูงบิน VF-32 จากเรือบรรทุกเครื่องบินจอห์น เอฟ เคเนดี้ CV67 ได้ยิงเครื่องบินขับไล่มิก-23 ฟล็อกเกอร์ของลิเบียตก หลังจากเครื่องบินของลิเบียมุ่งเข้าหากองเรือสหรัฐฯ ในลักษณะเป็นภัยคุกคาม โดยสังหารได้จากอาวุธปล่อยนำวิถีแบบเซมิแอคทีฟเรดาร์ สแปร์โรว์ และไซด์วายเดอร์ ส่งมิก 23 ทั้ง 2 ลำร่วงลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

นอกจากนี้ เอฟ-14 ยังได้เข้าร่วมรบในสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในยุทธการพายุทะเลทรายปี 1991 ประกอบด้วยการลาดตระเวนรบเหนือทะเลแดงและอ่าวเปอร์เซีย และภารกิจเหนือพื้นดินที่ทั้งคุ้มกันการโจมตีและการสอดแนม จนกระทั่งวันสุดท้ายของปฏิบัติการพายุทะเลทรายมาถึง การบินครองอากาศในประเทศก็ถูกทำโดยเอฟ-15 อีเกิล ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เนื่องจากกฎการเข้าปะทะยังเน้นถึงการระบุมิตรหรือศัตรู เมื่อต้องใช้ขีปนาวุธระยะไกลเกินสายตาอย่างเอไอเอ็ม-7 สแปร์โรว์และเอไอเอ็ม-54 ฟีนิกซ์ จึงเป็นข้อจำกัดที่ขัดขวางทอมแคทจากการใช้อาวุธที่มีอำนาจการโจมตีสูงสุด นอกจากนั้นสัญญาณที่ทรงพลังที่ออกจากเรดาร์ เอดับบลิวจี-9 (AWG-9) ถูกตรวจจับได้ง่ายในระยะไกล

โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ สูญเสียเอฟ-14 ทอมแคท ไปเพียงลำเดียว เมื่อวันที่ 21 มกราคม ปี 1991 เมื่อเอฟ-14เอ+ หมายเลขบี/เอ็น 161430 จากฝูงบิน VF-103 สลักเกอร์ ถูกยิงตกโดยขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ เอสเอ-2 หรือ แซม-2 ไกด์ไลน์ ขณะทำภารกิจคุ้มกันใกล้กับฐานบินอัล อัสซาดในอิรัก นักบินและเจ้าหน้าที่เรดาร์ทั้งสองนายดีดตัวออกมาทัน โดยนักบินได้รับการช่วยเหลือจากกองกำลังพิเศษของทอ.สหรัฐฯ และส่วนผู้ควบคุมเรดาร์ถูกจับเป็นเชลยโดยทหารฝ่ายอิรักในค่ายเชลยศึกจนจบสงคราม เอฟ-14 ยังได้ทำแต้มสุดท้ายของมันโดยการยิงเฮลิคอปเตอร์มิล เอ็มไอ-8 ตกด้วยเอไอเอ็ม-9 ไซด์วายเดอร์

แมวเปอร์เซีย เอฟ-14 ทอมแคท ทอ.อิหร่าน

ประเทศที่นำ เอฟ-14 ในการรบอย่างแท้จริง ไม่ใช่สหรัฐฯ แต่เป็นอิหร่าน ในช่วงปี 1974 อิหร่านได้ทำสัญญาสั่งซื้อเอฟ-14 จากสหรัฐฯ 30 ลำพร้อมขีปนาวุธเอไอเอ็ม-54 ฟีนิกซ์ 424 ลูก ภายใต้โครงการเปอร์เซียนคิงโดยมีมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากนั้นก็เพิ่มขึ้นกลายเป็นเครื่องบิน 80 ลำและขีปนาวุธ 714 ลำ เพื่อเป็นอะไหล่ให้กองทัพไปอีก 10 ปี แต่หลังจากเกิดการปฏิวัติอิสลาม สหรัฐฯ ก็ตัดความสัมพันธ์กับอิหร่าน ทำให้อิหร่านได้รับมอบเอฟ-14 ไป 79 ลำ แต่ก็ได้ถูกนำมาใช้ในสงครามอิรัก-อิหร่าน

โดยข้อมูลระบุว่า เอฟ-14 ของอิหร่านสามารถยิงเครื่องบินอิรักตกกว่า 50 ลำในช่วง 6 เดือนแรกของสงคราม แต่หลังจากนั้นก็เริ่มสูญเสียเช่นกัน ทั้งนี้ อิหร่านก็ประสบปัญหาการขาดแคลนอะไหล่และชิ้นส่วนสำคัญ ทำให้จำนวนเอฟ-14 ที่ยังคงพร้อมรบบินได้ คาดว่าจะมีเหลือราว 20 ลำ โดยมาจากการซ่อมบำรุงด้วยตนเอง ขณะที่อาวุธที่เหลืออยู่จะเป็นเอไอเอ็ม 9 -เจไซด์วายเดอร์ และเอไอเอ็ม-7 อีสแปรโรว์ ส่วนฟินิกซ์น่าจะหมดอายุการใช้งานแล้ว และมีรายงานว่า อิหร่านดัดแปลงขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน แบบ MIM-23 ฮอว์ก มาติดใช้งานแทนสแปร์โรว์ และไซด์วายเดอร์ ที่จัดหามาตั้งแต่ปลายยุค 70


วันที่ต้องอำลาทร.สหรัฐฯ อยู่ให้คนได้รัก จากให้คนคิดถึง

ในวันที่ 27 เม.ย.2006 กองทัพเรือสหรัฐฯ ประกาศที่จะปลดประจำการ เอฟ-14 หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในอัฟกานิสถาน ต่อมา 28 ก.ค.2006 โดยเอฟ-14 จากฝูงบิน VF-31 ได้ปฏิบัติการบนเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอสธีโอดอร์ รูสเวลต์ CVN71 เป็นครั้งสุดท้ายหลังจากนั้น 2 เดือน กองทัพเรือสหรัฐฯ ก็ปลดประจำการเอฟ-14 ทั้งหมดจากกองทัพปิดฉากการรับใช้ชาติที่ยาวนานกว่า 36 ปี โดยเที่ยวบินสุดท้ายเพื่ออำลากองทัพ จัดขึ้นที่สถานีการบินทหารเรือโอเซียนา รัฐเวอร์จิเนีย โดยเอฟ-14 ดี ของฝูงบิน VF-31 หมายเลข 164603 เป็นลำสุดท้ายที่บินจากโอเซียนา เดินทาไปยังสนามบินรีพับบลิก เมืองฟาร์มมิงเดล รัฐนิวยอร์ก เพื่อตั้งแสดงที่พิพิธภัณฑ์ ส่วนลำอื่น ถ้าไม่ถูกส่งไปเก็บไว้ที่สุสานเครื่องบินกลางทะเลทรายที่ฐานทัพอากาศเดวิสมอนทาน รัฐแอริโซนา ก็จะถูกทำลายแยกชิ้นส่วนเพื่อไม่ให้กลายเป็นอะไหล่ส่งขายในตลาดมืด จนตกไปถึงอิหร่าน ที่เป็นศัตรูของสหรัฐฯ นั่นเอง

ทุกวันนี้ยังคงมีนักบินมือเก่าๆ ที่บินกับเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่แล้ว ยังคิดถึงทอมแคทอยู่ ด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่าเครื่องบินรุ่นราวคราวเดียวกัน การมีอาวุธปล่อยระยะไกล อีกทั้งกลุ่มคนที่รักเครื่องบิน และชื่นชอบในการดูเครื่องบิน ก็ยังคงเดินทางแวะเวียนเยี่ยมชม เอฟ-14 ที่ถูกตั้งจัดแสดงในหลายที่ทั่วสหรัฐอเมริกา ขณะที่สินค้าที่เกี่ยวกับเอฟ-14 ทอมแคท ก็ยังมีการผลิตออกมาจำหน่าย อาทิ พลาสติกโมเดล ไดคาสท์ โมเดล รวมทั้ง เกมคอมพิวเตอร์ และวิดีโอเกมเกี่ยวกับเครื่องบิน ก็ยังมีเอฟ-14 ให้เลือกใช้เล่นในเกมด้วย ในโอกาสที่ครบ 50 ปีของเอฟ-14 ทอมแคท จึงเป็นโอกาสดีที่คนรักเครื่องบินจะได้รู้จักและได้คิดถึงเจ้าแมวร้ายตัวนี้กันอีกครั้ง.

เรื่องโดย       : จุลดิส รัตนคำแปง
ที่มาของข้อมูล : Grumman F-14 Tomcat 
                 : Naval History and Heritage Command 
                 : Combat Aircraft Journal "celebration of the Grumman F-14 Tomcat’s                         50th Anniversary" Jan 2021 Issue
ภาพโดย       : US NAVY Photo