ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1994 แต่ผ่านไปเกือบ 3 ทศวรรษ “amazon” ก็ยังสามารถครองความเป็นผู้นำธุรกิจอีคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งของโลกไว้ได้ พ่วงด้วยดีกรีความเป็นเจ้าอาณาจักรดิจิทัลระดับท็อป ถ้าถามว่าอะไรคือความลับของความเป็นหนึ่งตลอดกาล “เจฟฟ์ เบโซส” มหาเศรษฐีผู้ประหลาดปราดเปรื่องจะตอบให้งงเล่นๆว่า เราชนะด้วยนาฬิกาหมื่นปี, โต๊ะประตู และสปิริตของบริษัทวันแรก

แอมะซอน” ก้าวกระโดดมาไกลได้ถึงขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะการแข่งกันทุ่มงบมหาศาลเพื่อฟาดฟันคู่แข่งให้กระจุย แต่ “หลักคิดแบบแอมะซอน” ที่ถือเป็นคัมภีร์ธุรกิจและวัฒนธรรมองค์กร กลับเป็นอะไรที่เรียบง่ายและไม่มีพิธีรีตองที่ซับซ้อน เพราะ “เจฟฟ์” เชื่อมั่นว่าการสร้างบริษัทที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าจะต้องเริ่มต้นจากการไม่หยุดสร้างสรรค์และพัฒนาตัวเอง, ใช้เงินทุนอย่างมัธยัสถ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และทำลายกรอบพิธีรีตองอันไร้สาระ

“เจฟฟ์” เป็นเจ้าแห่งการเปรียบเทียบ ที่มักคิดสัญลักษณ์แปลกๆเพื่อกระตุ้นต่อมชาวแอมะซอน หลายคนเคยได้ยินคำว่า “นาฬิกาหมื่นปี” เขาตั้งใจใช้สัญลักษณ์นี้เพื่อบ่งบอกถึงความตั้งใจที่จะคิดใหญ่และมองการณ์ไกลอยู่เสมอ เจ้าพ่อแอมะซอนมักประเมินสิ่งต่างๆในกรอบเวลาที่สามารถลงทุนในระยะยาวได้ เพราะเชื่อว่าถ้าทุกอย่างที่เราทำอยู่ในกรอบเวลา 3 ปี เราจะต้องแข่งขันกับคนจำนวนมาก แต่ถ้าตั้งใจลงทุนในกรอบเวลา 7 ปี เราจะแข่งขันกับคนส่วนน้อย เพราะจะหาคนอึดถึกทนอย่างเราได้ยาก สิ่งที่ “อะแมซอน” ทำก็แค่ตั้งนาฬิกาใหม่ ยืดกรอบเวลาออกไป เพื่อให้เวลาในการเพาะเมล็ดพันธุ์ แล้วปล่อยให้มันเติบโต แทนที่จะใส่ปุ๋ยเร่งดอกเร่งใบ “เจฟฟ์” ไม่ได้แค่อุปมาอุปไมย แต่ที่บ้านของเขาในเวสต์เท็กซัสมีนาฬิกาหมื่นปีจริงๆ เข็มของมันจะเดินปีละครั้ง ส่วนเข็มศตวรรษเดิน 100 ปีครั้ง และนกจะออกมาขันทุกๆ 1,000 ปี

...

แล้ว “โต๊ะประตู” ล่ะมาได้ยังไง มันคือสัญลักษณ์ของการเค้นนวัตกรรมจากความประหยัด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแอมะซอน เขาพูดเสมอว่า การสร้างนวัตกรรมคือความประหยัด หนึ่งในไม่กี่วิธีที่จะออกจากกล่องแคบๆ คือการสร้างทางออกของคุณขึ้นมา สำหรับเขาแล้วเงินทุกเหรียญที่ประหยัดได้เท่ากับอีกหนึ่งโอกาสในการลงทุน ยิ่งลดโครงสร้างต้นทุนในธุรกิจได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ราคาสินค้าต่ำลงได้มากเท่านั้น การใส่ใจเรื่องความประหยัดจะช่วยลดสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุด นั่นคือ “ความชะล่าใจ”

แล้วมันเกี่ยวยังไงกับ “โต๊ะประตู” ย้อนไปยุคแรกของการก่อตั้งบริษัท “เจฟฟ์” มีจุดยืนชัดว่าองค์กรไม่ได้ต้องการห้องทำงานที่มีโต๊ะทำงานใหญ่โตหรูหรา แต่ทุกคนต้องการแค่พื้นที่ที่ทำงานได้เท่านั้น รวมถึงผู้บริหารระดับสูงด้วย แล้วจู่ๆก็มีพนักงานตัวเล็กๆนำประตูที่ไม่ใช้แล้วมาต่อขาทำเป็นโต๊ะขึ้นมา นับแต่นั้นมา “โต๊ะประตู” ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมความประหยัดและเท่าเทียมกันภายในแอมะซอน นอกจากจะช่วยบริษัทประหยัดเงิน ยังช่วยให้ลูกค้าได้สินค้าราคาถูกลงด้วย กระนั้น การประหยัดในทัศนะของ “เจฟฟ์” ไม่ใช่แค่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน แต่ยังถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมภายในองค์กรให้มุ่งเน้นไปที่การใช้ทรัพยากรน้อยสุดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ในขณะที่ “แจ๊ค หม่า” ถือคติจงยืนกรานในความฝันให้เหมือนรักแรก เพื่อเป็นแรงใจในการมุ่งแสวงหาความสำเร็จทางธุรกิจ “เจฟฟ์ เบโซส” กลับปลุกไฟในองค์กร ด้วยการกระตุ้นพนักงานทุกคนให้กำจัด “ความชะล่าใจ” ด้วยการนึกถึง “สปิริตของบริษัทวันแรก” เสมอ เจ้าพ่อแอมะซอนสรุปมุมมองว่า ปกติจะมีบริษัทอยู่สองประเภทคือ บริษัทวันแรก และบริษัทวันที่สอง ซึ่งบริษัทวันที่สองหมายถึงการหยุดนิ่ง ตามมาด้วยการหมดความสำคัญ และในที่สุดก็จะตกต่ำ, เจ็บปวดทรมาน และตายไปอย่างไร้ค่า การตกต่ำประเภทนี้อาจเกิดขึ้นอย่างเชื่องช้ามากๆ บริษัทใหญ่ๆหลายแห่งอาจตกอยู่ในภาวะบริษัทวันที่สองอยู่หลายสิบปี แต่สุดท้ายก็ต้องล้มครืนลง เพราะไม่สามารถรักษาพลังความกระตือรือร้นของวันแรกไว้ได้ “เจฟฟ์” เชื่อว่า เครื่องมือสำคัญที่จะปกป้องสปิริตของบริษัทวันแรกไว้ได้คือ การใส่ใจลูกค้า, การท้วงถามสิ่งที่ดูเหมือนจะใช่, การเปิดรับกระแสใหม่ๆอย่างกระตือรือร้น, การตัดสินใจด้วยความเร็วสูง และจงหิวโหยอยู่เสมอแม้จะทำสำเร็จแล้ว

รองจาก “ความชะล่าใจ” แล้ว เจ้าพ่อแอมะซอนเกลียด “วัฒนธรรมคันทรีคลับ” ที่สุด ประเภทคิดว่ากูรวยแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว และเอาแต่อยู่ในคอมฟอร์ตโซน ไม่กล้าลุยไม่กล้าเสี่ยงตัดสินใจใหม่ๆ เลือกจะเดินบนเส้นทางปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ เพราะกลัวสูญเสียความสุขความมั่นคงที่เคยมี ต่อให้ใหญ่ขนาดไหนก็ล้มครืนได้ ถ้าไม่คิดจะปรับตัว!!

มิสแซฟไฟร์