สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความคิดเห็นเป็นครั้งแรกต่อกรณีถูกคุกคามทางไซเบอร์ในสหรัฐฯ เมื่อไม่กี่วันก่อน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ ยังระบุว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม ทั้งที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐฯ ได้เตือนว่ามีความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อรัฐบาลและเครือข่ายส่วนตัว ผู้นำสหรัฐฯยังอ้างอย่างไม่มีหลักฐานว่าจีนอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่รัสเซีย ซึ่งขัดแย้งกับนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 18 ธ.ค.ว่าสามารถพูดได้อย่างชัดเจนว่าชาวรัสเซียมีส่วนร่วมในปฏิบัติการนี้อย่างค่อนข้างชัดเจน
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวได้เตรียมออกแถลงการณ์เมื่อบ่ายวันศุกร์กล่าวหารัสเซียเป็นตัวการหลักในการแฮ็ก แต่ได้รับคำสั่งในนาทีสุดท้ายให้ยกเลิก ทำเนียบขาวไม่แสดงความคิดเห็นต่อความคิดเห็นของทรัมป์ ส่วนกระทรวงต่างประเทศก็ไม่ตอบคำถามต่อคำพูดของปอมเปโอเช่นกัน โดยตลอดการดำรงตำแหน่งทรัมป์มักจะปฏิเสธที่จะกล่าวหารัสเซีย รวมถึงการแทรกแซงการเลือกตั้งในปี 2559 ที่ช่วยให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง แม้ว่าปอมเปโอจะเป็นเจ้าหน้าที่บริหารคนแรกที่กล่าวโทษรัสเซียต่อการแฮ็ก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯคนอื่นๆ ก็มีความชัดเจนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าปฏิบัติการดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นผลงานของรัสเซีย ไม่มีข้อเสนอแนะที่น่าเชื่อถือว่าประเทศอื่นๆ รวมทั้งจีนเป็นผู้รับผิดชอบ
ด้านตัวแทนจากเดโมแครตก็ยังยืนยันต่อสาธารณะว่ารัสเซียซึ่งเคยแฮ็กกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ในปี 2557 และแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2559 ผ่านการแฮ็กมาก่อนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้ยังไม่ชัดเจนว่าแฮกเกอร์ต้องการอะไร แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นความลับเกี่ยวกับนิวเคลียร์ หรือพิมพ์เขียวอาวุธขั้นสูง ไปจนถึงการวิจัยวัคซีน COVID-19 และข้อมูลเอกสารรัฐบาลและบรรดาผู้นำในอุตสาหกรรม ขณะที่รัสเซียกล่าวว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
...
ในขณะที่ทรัมป์ไม่ให้ความสนใจ หน่วยงานความปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานได้ยืนยันว่าหน่วยงานของรัฐบาลกลางและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐฯถูกแฮ็กซึ่งตรวจจับด้วยวิธีเดิมได้ยาก รวมถึงกระทรวงการคลัง, พาณิชย์, ต่างประเทศ, ความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ, พลังงาน, สาธารณสุข และยังอาจรวมถึงโรงไฟฟ้าและสถาบันการเงิน มีหน่วยงานและองค์กรกว่า 18,000 แห่งที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ของโซลาร์วินด์สได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง.