คุณทวดในอังกฤษได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 จากไฟเซอร์ เป็นคนแรกของโลก เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น อ่วมเจอโควิดระลอกสาม ยอดป่วยพุ่งขึ้นไม่หยุด
คุณทวดอังกฤษได้รับวัคซีนคนแรกของโลก
อังกฤษประเดิมฉีดวัคซีนให้พลเมือง โดยคุณทวดมาร์กาเร็ต คีแนน ชาวไอร์แลนด์เหนือวัย 90 ปี ชาวไอร์แลนด์เหนือ เป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 จากบริษัทไฟเซอร์-ไวโอเอ็นเทค เป็นรายแรกของโลก
การได้วัคซีนต้านไวรัสโคโรนา 2019 เป็นครั้งแรกในสหราชอาณาจักรของคุณทวดรายนี้ เป็นการฉีดวัคซีนภายในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยโคเวนทรี และจะมีการทยอยเรียกบุคคลที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงมารับวัคซีนตามสถานพยาบาลแห่งต่างๆ ต่อไป
ขณะที่ นายแมทท์ แฮนค็อก รัฐมนตรีสาธารณสุขของอังกฤษให้สัมภาษณ์ก่อนวันเริ่มต้นฉีดวัคซีนว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการต่อสู้กับไวรัสมรณะ แต่สิ่งที่สำคัญคือพลเมืองทุกคนต้องเคร่งครัด ทำตามข้อปฏิบัติที่ทางการกำหนด จึงจะช่วยให้สามารถควบคุมสถานการณ์ในประเทศได้
โดยสหราชอาณาจักรนับเป็นประเทศแรกของโลก ที่เริ่มต้นนำวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค มาฉีดให้กับพลเมือง หลังจากที่ได้รับการรับรองอนุมัติให้ใช้วัคซีนตัวนี้ได้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
...
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานดูแลความปลอดภัยทางการแพทย์ของอังกฤษ พบว่า มีบุคลากรทางการแพทย์แพ้ยาดังกล่าว 2 ราย ทำให้มีคำเตือนให้ผู้ที่มีประวัติแพ้ง่าย หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนออกไปก่อน
ล่าสุดสหราชอาณาจักร เป็นประเทศอันดับ 7 ของโลกที่มีผู้ติดเชื้อโควิดสูงที่สุด ด้วยจำนวนผู้ป่วยสะสม 1.73 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 61,434 ศพ
สหรัฐฯอนุมัติใช้วัคซีนฉุกเฉิน
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA อนุมัติการใช้งานวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค เป็นกรณีฉุกเฉิน ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้อนุมัติใช้งานวัคซีนโดยเร็ว ซึ่งผู้ที่จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรกคือกลุ่มผู้สูงอายุ และบุคลากรทางการแพทย์
ด้านทางการสหรัฐฯได้เตรียมพร้อมส่งวัคซีนจากรัฐมิชิแกนไปยังจุดแจกจ่ายวัคซีน 636 จุด ซึ่งมีกำหนดถึงรัฐต่างๆ ภายในวันพุธหน้า ขณะที่ก่อนหน้านี้วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ได้รับการรับรองให้ใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในหลายประเทศแล้ว ทั้งในสหราชอาณาจักร แคนาดา บาห์เรน และซาอุดีอาระเบีย
ล่าสุดเว็บไซต์ เวิร์ดโอมีเตอร์ส รายงานว่า สหรัฐฯมียอดผู้ป่วยรวมทั่วประเทศ 16,549,366 ราย และเสียชีวิต 305,082 ศพ
เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น อ่วมเจอโควิดระลอกสาม ยอดป่วยพุ่งขึ้นไม่หยุด
หน่วยงานควบคุมและป้องกันโรคระบาดของเกาหลีใต้ รายงานพบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 1,030 ราย ในวันที่ 13 ธันวาคม 2563 ซึ่งทุบสถิติเป็นตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 รายวัน ที่มากที่สุดตั้งแต่พบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเกาหลีใต้ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกที่สาม ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยในประเทศขยับขึ้นทะลุ 42,700 ราย และเสียชีวิต 580 ศพ ซึ่งการระบาดครั้งล่าสุดมีลักษณะเป็นการระบาดกลุ่มเล็กๆ กระจายอยู่ในย่านที่มีประชาชนแออัด ทำให้ยากต่อการติดตามตัวกลุ่มเสี่ยง
...
ด้านนายชุง เซ คยุน นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ระบุว่า จะมีการส่งกำลังทหารจำนวน 800 นาย กระจายไปยังเขตปริมณฑลของกรุงโซล เพื่อช่วยเหลือทีมแพทย์และพยาบาลในการติดตามตัวประชาชนที่เข้าข่ายเสี่ยงติดโรคโควิด-19
ขณะที่ญี่ปุ่น ทุบสถิติพบยอดผู้ป่วยโควิด-19 รายวัน ทะลุ 3,000 ราย ในวันที่ 13 ธันวาคม 2563 โดยกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นรายงาน พบผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งหมด 3,030 ราย ในจำนวนนี้อยู่ในกรุงโตเกียว 621 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยรวมทั่วประเทศขยับขึ้นไปอยู่ที่ 177,287 ราย และเสียชีวิต 2,562 ศพ
ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่สามตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ทำให้ทางการขอความร่วมมือประชาชนให้หลีกเลี่ยงการออกจากที่พักอาศัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุ โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าการที่โรคโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดอย่างหนักอีกครั้ง ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศตามแคมเปญของรัฐบาลญี่ปุ่น
'จิมมี่ ไหล' ถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดต่างชาติ ละเมิดกฎหมายความมั่นคงฮ่องกง
...
จิมมี่ ไหล เจ้าพ่อสื่อฮ่องกง หนึ่งในผู้เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อฟังข้อกล่าวหาภายใต้กฎหมายความมั่นคง โดยนายไหล ถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติ เพื่อเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรฮ่องกง
ขณะที่ก่อนหน้านี้นายไหลได้ถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ด้วยข้อหาฉ้อโกง ซึ่งศาลได้คัดค้านการประกันตัว และมีกำหนดพิจารณาคดีอีกครั้งในเดือนเมษายนปีหน้า
ทั้งนี้ ทางการฮ่องกงได้ทยอยจับกุมผู้เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย หลังจากที่มีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงเมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ว่าเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ขณะที่ทางการยืนยันว่าการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นการรักษาความสงบสุขในฮ่องกง.
ที่มา: Theguardian, CNA, CNA
...