จากวิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คนไปทั่วโลกที่ต้องเปลี่ยนไปภายในช่วงเวลาไม่นาน คำถามก็คือหากการระบาดของเชื้อร้ายนี้สงบลงแล้ว การใช้ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร
ที่ผ่านมาธุรกิจองค์กรต่างๆทั่วโลกที่ไหวตัวทันมีการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรับมือกับ “ดิสรัปชัน” จากเทคโนโลยีต่างๆที่ถาโถมอย่างรวดเร็ว และ ดิสนีย์ คือองค์กรใหญ่ที่เพิ่งประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจสื่อและความบันเทิงครั้งใหญ่ด้วยการเน้นการ “ส่งตรงความบันเทิงถึงผู้บริโภค” รับมือ “นิวนอร์มอล” หลังธุรกิจหลายส่วนทั้งภาพยนตร์ สวนสนุกและรีสอร์ตต่างได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
“สตรีมมิ่ง” คือคำตอบ
หลังจากภาพยนตร์ที่คาดหมายว่าจะทำรายได้ถล่มทลายประจำปีอย่าง ‘มู่หลาน’ เปิดตัวในโรงภาพยนตร์ไปช่วงต้นเดือน ก.ย. ทำรายได้น่าผิดหวังจากวิกฤติโควิด-19 ที่โรงภาพยนตร์ทั่วโลกไม่สามารถเปิดบริการได้ตามปกติ แต่กลับทำรายได้น่าพอใจบนสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม “ดิสนีย์พลัส” พร้อมดันยอดสมัครสมาชิก “ดิสนีย์พลัส” เพิ่มขึ้นถึง 68% ยังทำให้สมาชิกใช้เวลาดูคอนเทนต์ นานเพิ่มขึ้นอีก 193% โดยผู้ชมต้องจ่ายเงินอีก 29.99 ดอลลาร์ (ราว 933 บาท) ในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้ดิสนีย์มีรายได้เต็มๆไปกว่า 33.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 1 พันล้านบาท) ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ให้บริการ แม้จะไม่คุ้มทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ แต่ก็นับได้ว่าพบหนทางอยู่รอดในยุคนิวนอร์มอล
ธุรกิจสตรีมมิ่ง “ดิสนีย์พลัส” จะถูกผลักดันให้เป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท เพื่อรองรับการบริโภคคอนเทนต์แบบดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น ดิสนีย์เปิดตัวบริการสตรีมมิ่ง “ดิสนีย์พลัส” ในเดือน พ.ย.ปี 2562 มียอดสมาชิกผู้ใช้บริการดิสนีย์พลัส ฮูลู และอีเอสพีเอ็นพลัส จากทั่วโลกรวมกันมากกว่า 100 ล้านรายแล้ว ในขณะที่ผู้บุกเบิกอย่าง เน็ตฟลิกซ์ มีสมาชิกผู้ใช้บริการ 193 ล้าน นับแต่เปิดบริการมาแล้ว 13 ปี
...
นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวจะแยกส่วนการพัฒนาและผลิตคอนเทนต์ และการจัดจำหน่ายและการค้าออกจากกัน และแน่นอนว่าจะยังมีการปลดพนักงานอันเป็นผลมาจากการ รวมศูนย์กลางของการทํางาน
ปีนี้ดิสนีย์เลื่อนภาพยนตร์เกือบทั้งหมดที่มีกำหนดฉายในปีนี้ รวมถึง “แบล็ค วิโดว์” ภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ โดยมาร์เวล สตูดิโอ ที่เลื่อนไปถึง พ.ค.ปีหน้า เป็นปีแรกที่ไม่มีภาพยนตร์จากมาร์เวล สตูดิโอเข้าฉายนับแต่ปี 2552
สงครามในธุรกิจสตรีมมิ่งจะดุเดือดขึ้น เพราะ “คอนเทนต์ คือราชา”.
อมรดา พงศ์อุทัย