• ออสเตรเลียกับจีนมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีต่อกันมาหลายสิบปี แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ออสเตรเลียเริ่มปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อแดนมังกร ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

  • ออสเตรเลียตัดสินใจที่จะรับมือจีนของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนทั้ง 2 ฝ่ายแสดงความขัดแย้งต่อกันอย่างเปิดเผย และตอบโต้กันไปมาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

  • ออสเตรเลียยังมีแนวคิดที่จะลดการพึ่งพาทางการค้ากับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด

ออสเตรเลียเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับจีน

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งภาคการเมืองและธุรกิจมีเป้าหมายสูงสุดคือ การปกป้องและขยายการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติแก่จีน ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งแร่เหล็ก, ถ่านหิน, ก๊าซธรรมชาติ, ไวน์ และอื่นๆ ซึ่งทำให้ออสเตรเลียไม่เคยเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยเลยแม้แต่ครั้งเดียวนานถึง 29 ปีติดต่อกัน จนกระทั่งไวรัสโควิด-19 ระบาดทั่วโลกในปี 2563 รัฐบาลออสเตรเลียทำทุกอย่างโดยมุ่งเน้นเรื่องการ รักษาสมดุล ระหว่างความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน กับความเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐฯ ที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน

แต่มุมมองที่ออสเตรเลียมีต่อจีนในรัฐบาลของ นายกรัฐมนตรี สกอต มอร์ริสัน เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยแหล่งข่าวหลายคนในรัฐบาลแคนเบอร์ราบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ความสัมพันธ์นั้นไม่ได้ก่อร่างด้วยการค้าเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว หากแต่รวมไปถึงมุมมองที่ว่า “จีนมีความเสี่ยงเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยและอธิปไตยของออสเตรเลีย” เข้าไปด้วย

สกอต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย
สกอต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย

...

แหล่งข่าว 2 คนบอกกับรอยเตอร์ว่า ตอนนี้การหารือเกี่ยวกับจีนภายในรัฐบาลของนายมอร์ริสัน พูดถึงแต่เรื่องความจำเป็นในการรักษาอธิปไตยและขัดขวางความพยายามของจีนที่จะครอบงำนโยบายของออสเตรเลีย ตัวอย่างที่สะท้อนความคิดนี้อย่างชัดเจนคือ เมื่อไม่นานมานี้ นายมอร์ริสันเพิ่งออกมาเตือนชาวออสเตรเลีย เรื่องการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของการโจมตีทางไซเบอร์, ออกมาตรการตรวจสอบความมั่นคงแห่งชาติสำหรับการลงทุนของต่างชาติ และเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมอย่างก้าวกระโดด โดยมุ่งเน้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งนายมอร์ริสันไม่ได้เอ่ยถึงจีนตอนออกนโยบายเหล่านี้ แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลระบุว่า นี่เป็นการตอบโต้ความเคลื่อนไหวของจีน

ออสเตรเลียยังเพิ่งออกมาแสดงความกังวล เรื่องที่พวกเขามองว่าเป็นความพยายามของจีน เพื่อบ่อนทำลายประชาธิปไตย รวมทั้งประกาศระงับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับฮ่องกง หลังจากแดนมังกรบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในเมืองแห่งนี้ และออกประกาศร่วมกับสหประชาชาติ ปฏิเสธการอ้างเป็นเจ้าของพื้นที่ในทะเลจีนใต้ของรัฐบาลปักกิ่ง

ฟางเส้นสุดท้าย ทำจีนโมโหสุดขีด

อย่างไรก็ตาม ในบรรดามาตรการต่างๆ ที่ออสเตรเลียใช้เพื่องัดข้อกับจีนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้แดนมังกรพิโรธที่สุดคือ การที่ออสเตรเลียออกมาล็อบบี้ผู้นำโลกให้มีการไต่สวนต้นตอการระบาดทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 เมื่อเดือนเมษายน ซึ่งทั่วโลกต่างหนุนหลังข้อเสนอนี้ มีออกมติซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก 137 ประเทศ ที่การประชุมสมัชชาสาธารณสุขโลก ให้สืบสวนเรื่องการระบาด ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่นของจีน ซึ่งในที่สุดรัฐบาลปักกิ่งก็ต้องจำยอมสนับสนุนมตินี้ด้วย จนมีการก่อตั้งคณะกรรมการอิสระ นำโดยนางเฮเลน คลาร์ค อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ กับนายเอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ อดีตประธานาธิบดีไลบีเรีย และคณะกรรมการนี้จะเผยผลการตรวจสอบขั้นต้นในเดือนพฤศจิกายน

แน่นอนว่า จีนต้องตอบโต้ออสเตรเลียอย่างหนัก พวกเขาบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรการค้ากับออสเตรเลีย ระงับการนำเข้าเนื้อบางประเภท และตั้งกำแพงภาษีนำเข้าข้าวบาร์เลย์ไว้สูงลิ่วที่ 80.5% รัฐบาลปักกิ่งยังเริ่มการสืบสวนการทุ่มตลาดในการส่งออกไวน์ของออสเตรเลียด้วย ต่อมาในเดือนสิงหาคม ทีมจีนคนหนึ่งออกมากล่าวหารัฐบาลแคนเบอร์ราว่าเป็นผู้ทรยศ เหมือนบรูตัส ที่หักหลัง จูเลียส ซีซาร์ เลยทีเดียว

ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียกับจีนเสื่อมลงตั้งแต่เมื่อไร?

รอยเตอร์ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลออสเตรเลียในอดีตและปัจจุบันจำนวน 19 คน และอดีตนายกรัฐมนตรี 2 คน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งพวกเขาเผยว่า ออสเตรเลียเริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อจีนมาตั้งแต่ปี 2560 ก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะดิ่งลงเหว จนเกือบทำให้เกิดสงครามเย็นรอบใหม่

ส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ เจ้าหน้าที่กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งหลายคนเคยเป็นเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงหรือการข่าวกรอง ที่กังขาความเป็นผู้นำและความทะเยอทะยานของจีนอย่างลึกล้ำ ถึงขั้นก่อกำเนิดกลุ่มสายเหยี่ยวต่อต้านจีนที่ชื่อ ‘เดอะ วูล์ฟเวอรีน’ ขึ้นในรัฐสภา

...

เหมืองเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่เมืองพิลบารา รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย
เหมืองเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่เมืองพิลบารา รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย

ออสเตรเลีย เสี่ยงเดิมพัน ใช้ “เหล็ก” คานอำนาจจีน

ความขัดแย้งกับจีนที่รัฐบาลมอร์ริสันเผชิญอยู่ตอนนี้ ถูกปูมาตั้งแต่ตอนที่เขาเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี 2560 แล้ว โดยการเดินทางครั้งนั้นทำให้เขาเชื่อว่า การค้าระหว่างออสเตรเลียกับชาติเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกแห่งนี้ เป็นการได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย นายมอร์ริสันบอกกับกลุ่มผู้สื่อข่าวในตอนนั้นด้วยว่า เขาได้ยินเจ้าหน้าที่จีนพูดว่า การส่งออกแร่เหล็กคุณภาพสูง ทำให้ออสเตรเลียอยู่ในสถานะที่ไม่เหมือนใคร

นายมอร์ริสันย้ำเรื่องนี้ในการตอบคำถามทางจดหมายของรอยเตอร์ว่า “นี่คือความสัมพันธ์ที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน เศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งขึ้นเพราะพวกเขาเข้าถึงพลังงานคุณภาพสูง, ทรัพยากร, ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และบริการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากออสเตรเลีย และเศรษฐกิจของเราก็เข้มแข็งขึ้นเพราะเราเข้าถึงสินค้าคุณภาพสูงจากจีน”

...

มัลคอล์ม เทิร์นบูล อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย
มัลคอล์ม เทิร์นบูล อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย

จนถึงตอนนี้ จีนยังไม่เคยพูดถึงการใช้ แร่เหล็ก ในการตอบโต้ออสเตรเลีย เหตุผลก็คือ จีนนำเข้าเหล็กจากออสเตรเลียมากถึง 60% ของเหล็กทั้งหมดที่พวกเขานำเข้า และแร่เหล็กยังเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พวกเขาพยายามฟื้นฟูขีดความสามารถทั้งหมดกลับมา หลังถูกไวรัสโควิด-19 เล่นงาน

นายมัลคอล์ม เทิร์นบูล อดีตนายกรัฐมนตรีช่วงปี 2558-61 ซึ่งเป็นยุคที่ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียกับจีนเปราะบางสุดๆ กล่าวว่า แม้จีนจะโกรธแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังต้องการออสเตรเลีย ถ้าจีนบังเอิญไปเจอแหล่งจัดหาแร่เหล็กขนาดใหญ่ คุณภาพอยู่ในระดับที่เหมาะสม ราคาเท่าคู่แข่ง พวกเขาก็คงคว้าเอาไว้ แต่มันไม่มี บริษัทจีนไม่ได้ซื้อสินค้าจากออสเตรเลียเพราะต้องการช่วยเหลือ แต่พวกเขาทำเพราะของคุณภาพดีและมีคุณค่า

...

จริงอยู่ว่า จีนหาตัวแทนออสเตรเลียในการซื้อแร่เหล็กได้ยากมาก แต่นายเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียอีกคนก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของนายมอร์ริสันว่า กำลังสร้างวิกฤตการณ์กับจีน “จีนไม่มีวันออกมาตรการทางเศรษฐกิจต่อออสเตรเลียที่จะสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง แต่ออสเตรเลียมีจุดอ่อนหลายอย่าง ออสเตรเลียส่งออกให้จีนมากกว่าแร่เหล็ก และรัฐบาลปักกิ่งอาจเล็งเล่นงานในจุดนั้น”

เควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย
เควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย

ออสเตรเลียตัดสินใจงัดข้อจีนหลังเกิดโควิด

ทูตกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนบอกกับรอยเตอร์ว่า ตอนที่การระบาดทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้น ออสเตรเลียก็ตัดสินใจที่จะหาทางรับมือรัฐบาลจีนภายใต้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่กำลังมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ และเรื่องลดการพึ่งพาทางการค้ากับจีน ซึ่งจะมีผลกับพวกเขาในระยะยาวแล้ว

การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้รอยร้าวระหว่างออสเตรเลียกับจีนถูกเปิดเผยออกมาอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในอดีตจีนก็เคยใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจกับออสเตรเลีย แต่เป็นมาตรการเช่น กักสินค้าอย่างแร่เหล็กหรือไวน์ไว้ที่ท่าเรือต่างๆ ซึ่งถูกกลบเกลื่อนว่าเป็นความขัดข้องทางเทคนิคด้านศุลกากร

สกอต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย
สกอต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย

แต่ตอนนี้ จีนประกาศคว่ำบาตรออสเตรเลียตรงๆ รวมทั้งเตือนนักเรียนนักศึกษาไม่ให้ไปเรียนที่ออสเตรเลีย เสี่ยงกระทบตลาดนักศึกษาต่างชาติ มูลค่า 2.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของแดนจิงโจ้ ซึ่งนายมอร์ริสันก็ตอบโต้กลับด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า “เราเป็นประเทศเปิดกว้างทางการค้า สหาย แต่ผมจะไม่ขายค่านิยมของเรา ไม่ว่าจะถูกบีบบังคับจากที่ใดก็ตาม”

ปัญหาระหว่างออสเตรเลียกับจีนทำให้ความรู้สึกที่สังคมมีต่อแดนมังกรตกต่ำลงอย่างมาก ผลสำรวจของสถาบันโลวี กลุ่มวิจัยนโยบายต่างประเทศ ซึ่งเผยแพร่ในเดือนมิถุนายนพบว่า ความเชื่อใจประเทศจีนในกลุ่มชาวออสเตรเลียลดลงเหลือเพียง 23% จาก 52% ในปี 2561 และ 94% สนับสนุนให้ลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับจีน ขณะที่แนวทางของรัฐบาลที่จะเข้าหาประเทศอื่นๆ เพื่อรับมือกับจีนก็ได้รับการสนับสนุนจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน

หาตลาดอื่นลดพึ่งพาการค้ากับจีน ไม่ใช่เรื่องง่าย

จีนถือเป็นหุ้นส่วนทางการค้ารายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย คิดเป็น 32.6% ของการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 1.72 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เกินดุลถึง 5.1 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่า ออสเตรเลียพึ่งพาจีนมากเกินไป และควรหาหุ้นส่วนการค้าอื่นๆ บ้าง

ดร. ไล-ฮา ชาน นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ในนครซิดนีย์ ระบุว่า ออสเตรเลียจำเป็นต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียอย่างยิ่งยวด ซึ่งความพยายามที่ว่าเริ่มขึ้นแล้ว โดยนายมอร์ริสันพบผู้นำอินเดียผ่านวิดีโอคอลล์เมื่อเดือนมิถุนายน หลังจากเมื่อปีก่อนเขาเพิ่งกลายเป็นผู้นำออสเตรเลียคนแรกที่ไปเยือนเวียดนามในรอบ 25 ปี ซึ่งถือเป็นการแสดงความยอมรับการเข้ามีมาบทบาทของเวียดนามในฐานะตลาดเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยวและการศึกษาของออสเตรเลียยังดึงดูดนักเรียนจากทั้ง 2 ประเทศได้อย่างต่อเนื่องด้วย

ชายคนหนึ่งรับชมการแถลงของนาย นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ระหว่างการประชุมสุดยอดผ่านทางวิดีโอคอลล์ กับสกอต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเมื่อ 4 มิ.ย. 2563
ชายคนหนึ่งรับชมการแถลงของนาย นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ระหว่างการประชุมสุดยอดผ่านทางวิดีโอคอลล์ กับสกอต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเมื่อ 4 มิ.ย. 2563

ดร.ชานแนะว่า ออสเตรเลียควรพึ่งพาทั้ง 2 ประเทศนี้ร่วมกับ อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อลดการพึ่งพาประเทศจีน อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์หลายคนโต้แย้งว่า จีนไม่ใช่ตลาดที่จะแทนที่ได้ง่ายๆ แม้อินเดียจะมีศักยภาพ แต่ออสเตรเลียวางเป้าหมายจะส่งออกสินค้าสู่แดนภารตะให้ได้ปีละ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2578 แต่พวกเขาส่งออกให้จีนเพียงชาติเดียวมากกว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปีก่อน

ศ. เจน กอลลีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีน จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย กล่าวว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดที่ใกล้เคียงและสามารถทดแทนมูลค่าการค้ากับจีนได้ และว่าการเรียกร้องจากนักวิเคราะห์ด้านความมั่นคง ให้ประเทศปฏิเสธจีน ซึ่งพาดหัวตามสื่อต่างๆ เป็นเรื่องน่าเศร้า

“ฉันสงสัยว่า คนที่เดินบนท้องถนนที่อ่านพาดหัวเหล่านี้ แล้วคิดว่า เราควรแยกจากจีน เขาคิดดีแล้วหรือเปล่าว่ามันหมายความว่าอย่างไร และมันอาจจะทำให้พวกเขาหรือลูกๆ ของพวกเขาไม่มีงานทำในอนาคตได้หรือไม่”

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน
สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน

ความสัมพันธ์แบบ “นิว นอร์มอล”

ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตอบว่า ออสเตรเลียจะสามารถลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้าสู่ประเทศจีนได้อย่างที่หวังหรือไม่ แต่นายมอร์ริสันยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับจีน “เราแค่เป็นชาวออสเตรเลีย เราไม่ได้ทำอะไรหรือหาทางทำอะไรที่ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของเรา หรือหาทางทำอะไรที่เป็นศัตรูกับความเป็นหุ้นส่วนของเรากับจีน”

ขณะที่นายริชาร์ด มอว์ด อดีตหัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลออสเตรเลีย ซึ่งเพิ่งออกจากตำแหน่งเมื่อปีก่อนระบุว่า ออสเตรเลียไม่ได้เปลี่ยนไป แต่จีนเปลี่ยนแปลงตั้งแต่รากฐาน รัฐบาลปักกิ่งมีความอหังการและมีอำนาจมากขึ้น ออสเตรเลียก็เหมือนชาติประชาธิปไตยอื่นๆ ที่ไม่สามารถมองข้ามความเป็นจริงทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อีก

“ความเสี่ยงการถูกตอบโต้ทางเศรษฐกิจ จะเป็นลักษณะถาวรของความสัมพันธ์แบบ ‘นิว นอร์มอล’ ระหว่างออสเตรเลียกับจีน” นายมอว์ดกล่าว “คุณจับปลา 2 มือไม่ได้”

ผู้เขียน: H2O

ที่มา: Reuters, BBC